6 ข้อผิดพลาดทางการเงินที่คนเป็นเศรษฐีเขาไม่ทำกัน (น่าสนใจ)

เว้นจากรับสมัครงานไปอ่านบทความที่น่าสนใจกันดีกว่าครับผมนี่เป็นเทคนิคของคนรวยที่คนธรรมดาอย่างเราควรศึกษาเอาไว้



1. ไม่ประเมินสถานะทางการเงินของตัวเอง
ใช่ว่าเรื่องเงินๆ ทองๆ จะเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับคนที่เก่งการคำนวณเสมอไป คุณอาจจะอ้างว่าเรื่องการคิดเลขไม่ใช่เรื่องที่ถนัดของคุณ ทำให้คุณไม่ได้ใส่ใจกับการทำบัญชีรายรับรายจ่ายเท่าไรนัก แต่นั่นเป็นความคิดที่ผิด เพราะการใช้เงินโดยไม่มีการทำบัญชี หรือประเมินสถานะทางการเงินส่วนบุคคลอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้คุณไม่สามารถเก็บเงินได้ พูดง่ายๆ คือ มีเงินเท่าไหร่คุณก็จะใช้หมด เพราะไม่มีการวางแผนการเงินทั้งแบบระยะสั้นที่เกี่ยวกับรายจ่ายรายวันของคุณ และในระยะยาวเช่นการออมเงินเพื่ออนาคต จนอาจทำให้คุณเป็นหนี้ ไม่มีเงินสำรองยามฉุกเฉิน และทำให้ไม่มีเงินออมเพียงพอในบั้นปลายของชีวิตหลังเกษียณ บรรดามหาเศรษฐีของโลกไม่ได้เกิดมาพร้อมกับทักษะการบริหารเงินที่ทำให้พวกเขามีรายได้มากกว่าคนอื่น พวกเขาก็ค่อยเรียนรู้จากประสบการณ์ทีละเล็กละน้อยเหมือนคนทั่วไป ซึ่งคุณเองก็ทำได้เช่นกัน 
ขั้นแรกคุณต้องรวบรวมข้อมูลทางการเงินจากบัญชีธนาคารของคุณ โดยมีรายละเอียดต่างๆ เช่น รายรับ รายจ่าย ในแต่ละเดือน จากนั้นประเมินสถานะเปรียบเทียบแต่ละเดือนว่ามีพัฒนาการทางการเงินเป็นอย่างไร เมื่อคุณรู้พฤติกรรมการใช้เงินของตัวเองอย่างถ่องแท้แล้ว คุณจะตัดสินใจทางการเงินในครั้งต่อไปได้อย่างรอบคอบมากขึ้น 
2. ใช้จ่ายเกินตัว
ลองจินตนาการดูว่าถ้าคุณเป็นเศรษฐีพันล้าน คุณจะใช้จ่ายอย่างไร ท่องเที่ยวด้วยเรือสำราญส่วนตัวในทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือเดินทางรอบโลกเป็นว่าเล่น ในความเป็นจริงแล้วคนที่เป็นเศรษฐีไม่ได้ใช้เงินฟุ่มเฟือยอย่างที่เราเข้าใจ คนที่ร่ำรวยมักจะตัดสินใจทางการเงินด้วยการประเมินจากสถานะทางการเงินในปัจจุบันรวมไปถึงเป้าหมายที่มีในอนาคต พวกเขารู้จักประมาณตนในการใช้จ่ายแต่ละครั้ง ที่สำคัญที่พวกเขาร่ำรวยขึ้นมาได้เพราะพวกเขารู้จัก “หาเงิน” ไม่ใช้รู้จักแต่ “ใช้เงิน” เพียงอย่างเดียว
ถ้าคุณรู้ตัวว่ามีพฤติกรรมใช้เงินเกินตัว หรือมีรายจ่ายที่หมดไปกับสิ่งฟุ่มเฟือยที่เกินกำลังทรัพย์ คุณต้องรู้จักประเมินตัวเองเสียใหม่ เราได้รู้ว่ามหาเศรษฐีระดับโลกรวยได้เพราะพวกเขารู้จักวิธีทำให้รายรับและรายจ่ายของพวกเขาสมดุลกัน คือมีรายได้ไม่น้อยกว่ารายจ่าย ด้วยการประหยัดทุกบาททุกสตางค์ก่อนที่คุณจะจ่ายเงินในแต่ละครั้ง 
3. ไม่เตรียมแผนการเงินรับมือล่วงหน้าสำหรับเรื่องใหญ่ๆในชีวิต
บุคคลที่ประสบความสำเร็จทางการเงินจะเข้าใจดีว่า ตลอดชั่วชีวิตของคนเราจะมีจุดเปลี่ยนสำคัญๆ ในชีวิตที่ต้องมีเรื่องเงินๆ ทองๆ มาเกี่ยวข้อง เช่น การแต่งงาน การมีลูก การซื้อรถ การซื้อบ้าน หรือภาระอื่นๆ ที่จำเป็นต้องใช้เงินก้อนใหญ่ แน่นอนว่าพวกเขามีแผนเตรียมพร้อมไว้สำหรับเหตุการณ์ในอนาคตเหล่านี้ พวกเขาเลือกที่จะเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์แทนที่จะให้ปัญหาทางการเงินเหล่านั้นควบคุมพวกเขาในยามวิกฤต
ถ้าคุณยังไม่มีแผน ไม่ต้องกังวลใจไป หากชีวิตของคุณมีเรื่องใหญ่ๆ ที่ต้องใช้เงินเกิดขึ้น ให้พิจารณาอย่างรอบคอบจากสถานะการเงินส่วนตัวของคุณ แล้วค่อยๆปรับเปลี่ยนแผนการใช้จ่ายตามสถานการณ์ แต่ถ้าเป็นไปได้ การเริ่มวางแผนในระยะยาว เช่น การตั้งเป้าเก็บเงินซื้อบ้าน แม้รายได้ในปัจจุบันของคุณจะยังไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ การวางแผนไว้ล่วงหน้าไม่ใช่การเพ้อฝัน แต่เป็นการเตรียมพร้อมสำหรับความจำเป็นที่ต้องเกิดขึ้นสักวันในอนาคตอย่างแน่นอน ถึงเรื่องบางเรื่องจะไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ แต่ถ้าคุณมีวิธีจัดการกับอนาคตไว้ล่วงหน้าแล้ว เมื่อเวลานั้นมาถึง คุณจะนึกขอบคุณในความรอบคอบของตัวเองในวันนี้ 
4. เสียเงินจำนวนมากไปกับค่าธรรมเนียมต่างๆ
สิ่งที่ทำให้บรรดาเศรษฐีแตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไปก็คือ พวกเขาจะไม่ยอมให้เงินแม้แต่สตางค์แดงเดียวของพวกเขาสูญเปล่าไปกับเรื่องเล็กๆ อย่างการจ่ายค่าธรรมเนียม ค่าปรับ หรือดอกเบี้ยต่างๆ เช่น พวกเขาจะไม่ยอมชำระค่าบริการต่างๆช้ากว่ากำหนดจนเป็นเหตุให้ต้องเสียค่าปรับ ที่สำคัญพวกเขาไม่ชอบพกบัตรเครดิตที่มีวงเงินสูงๆ เพราะนั่นหมายความว่าโอกาสที่จะรูดบัตรใช้เพื่อซื้อสินค้าหรือบริการที่มีราคาแพงก็จะเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย 
ถ้าคุณคิดว่าการเสียค่าธรรมเนียมยิบย่อยต่างๆเป็นเรื่องเล็กๆ ลองคำนวณมูลค่าของค่าธรรมเนียม ค่าดอกเบี้ย หรือค่าปรับทั้งหมดในแต่ละเดือนที่คุณต้องจ่ายไป แล้วคุณจะเห็นว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ อย่างที่คิด เพราะเงินจำนวนดังกล่าวเมื่อรวมกันสามารถนำไปใช้จ่ายในเรื่องอื่นๆได้อีกมากมาย ใส่ใจกับการจ่ายค่างวดรถ ค่าบ้าน ค่าประกัน หรือค่าบัตรเครดิตให้ตรงเวลาทุกครั้ง เพื่อป้องกันการเสียเงินโดยใช่เหตุในทุกครั้งที่ต้องจ่ายเงิน

5. เก็บเงินได้แต่ไม่กล้าลงทุน
บางคนเชื่อว่าถ้าอยากรวยต้องประหยัดอดออมมากๆ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ถูกเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น การเก็บเงินเป็นไม่ได้การันตีว่าคุณจะกลายเป็นเศรษฐีพันล้านได้ในอนาคต เพราะฉะนั้นคุณต้องทำอย่างอื่นมากกว่าแค่การประหยัดรายจ่ายในชีวิตประจำวัน คุณต้องหาวิธีสร้างรายได้อื่นๆ นอกเหนือจากเงินเดือนตามปกติ ซึ่งอาจจะเป็นการเล่นหุ้นเก็งกำไร ลงทุนในกองทุนรวมต่างๆ หรือต่อยอดธุรกิจอื่นๆเพื่อให้เงินของคุณงอกเงย และช่วยให้คุณขยับเข้าใกล้เป้าหมายทางการเงินของคุณได้เร็วขึ้น 
ถ้าคุณไม่กล้าลงทุนหรือกลัวเงินทุน (หรือเงินออมทั้งชีวิต) ของคุณจะสูญเปล่า ประเมินตัวเองว่าคุณมีความพร้อมแค่ไหนก่อนการลงทุน ให้ลองศึกษาการลงทุนในรูปแบบใดก็ได้ที่คุณสนใจดูก่อน เพื่อทำความคุ้นเคยกับมันก่อนการลงทุนด้วยเงินจริง โดยคุณอาจใช้ความถนัดในสาขาอาชีพที่คุณทำงานอยู่ หรือการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอย่างจริงจัง เป็นปัจจัยประกอบการตัดสินใจในธุรกิจประเภทนั้นๆ จำไว้ว่าการกลัวจนไม่กล้าลงทุนใดๆ ก็เหมือนกับการย่ำอยู่กับที่บนเส้นทางสู่การเป็นเศรษฐีของคุณ

6. ให้ความสำคัญกับราคาแทนที่จะเป็นความคุ้มค่า
คนที่เป็นเศรษฐีรู้ดีว่าการซื้อสิ่งของที่มีราคาถูกกว่า ไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดที่สุดในการใช้เงินเสมอไป พวกเขาไม่ได้ดูที่ราคาถูกหรือแพง แต่พวกเขาจะพิจารณาที่ประโยชน์และความคุ้มค่าในระยะยาว เช่น การซื้อรองเท้าสักคู่ คุณจะเลือกซื้อรองเท้าแบบใดระหว่าง รองเท้าราคาถูกแต่พังง่าย กับรองเท้าที่มีราคาแพงกว่าแต่ก็มีคุณภาพสมราคาและใช้ได้นานกว่า 
หากคุณยังมองหาแต่สินค้าที่มีราคาถูกที่สุด คุณต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ เป็นการเลือกสินค้าที่คุ้มค่าเงินมากที่สุดแทน นอกจากนี้หลักการ พิจารณาหาทางเลือกที่คุ้มค่าเงินมากที่สุด ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับการใช้เงินในเรื่องอื่นๆ เช่น การตัดสินใจกู้ยืมเงินจากธนาคาร ในการซื้อบ้าน การซื้อหรือจัดไฟแนนซ์รถ หรือแม้แต่การทำประกัน จำให้ขึ้นใจว่าคุณมีทางเลือกมากมายในมือก่อนที่คุณจ่ายเงินในแต่ละครั้ง จงเลือกในสิ่งที่คุณคิดว่าคุ้มค่าที่สุด แต่ไม่ใช่ถูกที่สุด
ที่มาเนื้อหา:themuse.com
เรียบเรียงและแปลจาก jobthai.com

advertising

Share this

Previous
Next Post »