แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ บทความ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ บทความ แสดงบทความทั้งหมด

มีเงินไม่ขาดสาย แค่ห้ามทำ 3 สิ่งอัปมงคลต่อไปนี้เด็ดขาด



สำหรับความเชื่อโบราณหากเริ่มต้นปีไม่ควรแสดงออกซึ่งความหม่นหมอง ทุกข์ระทม เศร้าโศก เสียน้ำตา จิตจะดึงดูดความทุกข์ระทมเข้ามาเป็นสิ่งที่ตั้งมั่น จึงพบกับความหม่นหมองทุกข์ระทมตลอดทั้งปี โดยเฉพาะคำว่า เหนื่อย สูญเสีย หรือ ไม่มีเงิน จะทำให้ในปีนั้นคุณจะเหนื่อยกับหลายๆ สิ่ง สูญเสียหลายๆ อย่าง ควรสั่งจิตให้คิดแต่ ความสุข ความสมหวัง ร่ำรวยที่ต้องเกิดขึ้นในปีนั้น ด้วยหัวใจที่สดใส ซึ่งถึงแม้ไม่สดใสก็ต้องซ่อนความรู้สึกแย่ๆ นั้นเอาไว้ อย่าให้มันแสดงออกมา และพยายามผลักมันออกไปให้เร็วที่สุด เพราะยิ่งมันอยู่นานจิตของคุณก็จะยิ่งถูกความทุกข์ระทมครอบงำมากขึ้นเท่านั้น และพยายามห้ามทำสิ่งต่างๆ ต่อไปนี้เป็นอันขาด ไม่งั้นเงินทองไม่มีทั้งปี


1.อย่าพูดจาไม่เป็นมงคล มันจะพาอับจนไปทุกที่

หากจะกล่าวถึงสุภาษิตของไทยก็คงไม่พ้น ดั่งสุภาษาิต "พูดดีเป็นศรีแก่ปาก" เพราะการพูดที่ออกมาจากปากสามารถสร้างได้ทั้งการสร้างสรรค์และทำลาย ไม่ว่าจะเป็น คำนาม รูปประโยค ประธาน กรรม กิริยา เช่น เจ็บ ตาย ซี้ เจ๊ง ล้มละลาย พินาศ ผี แค้น ฯลฯ อันคำพูดลบ มีแต่จะนำความเสื่อมมาให้ ที่สำคัญเป็นสิ่งขัดขวางความเจริญ และความร่ำรวย แต่เมื่อพูดดีในวันเริ่มต้นปีใหม่ของจีน ก็จะมีแต่สิ่งดีๆ ตามมาตลอดทั้งปี เช่นพูดว่า ร่ำรวย เฮง เฮง เงินทอง มั่งคั่งมั่งมี จึงเป็นคำตอบของคำถามที่ว่าทำไมชาวจีนจึงนิยมพูด ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้ ในวันตรุษจีน


2. อย่าคิดเรื่องทุกข์ ให้คิดเรื่องสุขแทน

แน่นอนมีจำนวนคนน้อยเหลือเกินที่จะไม่มีปัญหาต่างๆ ในชีวิต ที่สำคัญคือการที่จะหยุดไม่คิดถึงปัญหาเหล่านี้เป็นไปได้ยาก แต่ในช่วงเวลาขึ้นปีใหม่เช่นนี้ไม่ควรนึกถึงปัญหา หรืออุปสรรคค้างคาข้ามปี เพราะชาวจีนจะถือว่า คนๆ นั้นจะต้องพบกับอุปสรรคทั้งเก่าและใหม่ ที่จะผ่านเข้ามาตลอดทั้งปี โดยเฉพาะการคิดว่า "ไม่มีเงิน" ทั้งปีก็จะไม่มีเงิน หางานยาก หาเงินลำบาก ธุรกิจไม่ก้าวหน้า ติดๆ ขัดๆ ติดลบจนต้องเจ๊ง และปิดกิจการ แม้เคล็ดเช่นนี้เกิดจากมายาคติที่บรรพบุรุษชาวจีน

ต้องการให้ลูกๆ หรือคนในบ้านซึ่งได้กระจายกันไปเพราะภาระหรือหน้าที่ซึ่งห่างไกลกันมาทั้งปีได้กลับมารวมกัน เพื่อพักผ่อน เพื่อพบกับความสนุกสนาน เพื่อพบกับความอบอุ่นของครอบครัว ผู้หลักผู้ใหญ่จึงมักจะบอกลูกหลานให้ระงับเรื่องปัญหา ซึ่งเมื่อผ่านตรุษจีนไปแล้วจึงค่อยกลับมาคิดใหม่ จึงควรคิดแต่สิ่งดีๆ ที่ความหวัง ตั้งใจและใฝ่ฝันถึงอนาคตที่สดใส ซึ่งอยากจะรวยๆ ตลอดทั้งปี ก็ควรคิดแต่เรื่องรวย คิดแต่เรื่องการได้โชคได้ลาภตั้งแต่ต้นปี แล้วพลังของจิตจะตั้งมั่นที่ความรวย และความมั่งคั่งในปีนั้นอย่างแน่นอน


3. อย่าตัดโชค ตัดลาภ ของตัวเอง

หมายถึงการตัดผมหรือสระผม และ การใช้กรรไกร เพราะการตัดผมนั้นชาวจีนเชื่อว่าจะเป็นการชำระความโชคดีที่กำลังจะเข้ามาในช่วงตรุษจีนให้ออกไปจากชีวิต-ปีนั้น ผู้ที่สระผม ตัดผมจึงไม่ประสบความสำเร็จ ไม่พบโชค ไม่สามารถสร้างความร่ำรวยให้เกิดขึ้นได้ ส่วนการใช้กรรไกรพร่ำเพรื่อในวันตรุษจีนนั้นบรรพบุรุษชาวจีนฟันธงลงไปว่า เป็นการตัดโชคลาภที่จะได้รับ หากตัดผม สระผม และใช้กรรไกรพร่ำเพรื่อ จึงควรเตรียมตัวเข้าสู่ชีวิตที่อับโชคในปีนั้น

รับรองเห็นผลชัวร์ ถ้าเราไม่ทำสิ่งที่กล่าวไว้ แล้วคิดบวกอยู่เสมอ รับรองมีเงินใช้ไม่ขาดสาย เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ลองทำตามเลยครับ

ถึงขั้นนี้แล้วหรอ !!! จีนประกาศรับสมัคร ผู้จัดการห้องน้ำ วุฒิ ปริญญาตรี

บ.จัดหางานในจีนประกาศหางานในตำแหน่ง "ผู้จัดการห้องน้ำ" โดยต้องมีวุฒิการศึกษาขึ้นต่ำปริญญาตรีขึ้นไป โลกโซเชียลของจีนมีการแชร์ภาพของเว็บไซต์ประกาศจัดหางานแห่งหนึ่ง โดยระบุถึงงานในตำแหน่ง "ผู้จัดการห้องน้ำ" (Toilet Manager) ซึ่งสถานที่ทำงานคือบรรดาห้องน้ำสาธารณะในเขตฮงชาน เมืองวูฮั่น ของมณฑลหูเป่ย.



ขณะที่บางคนกล่าวว่า ระดับผู้จัดการห้องน้ำนี้ต้องใช้วุฒิป.ตรี แล้วถ้าเป็นระดับ supervisor คงต้องใช้วุฒิป.โท อย่างไรก็ตามด้านคณะกรรมการบริหารเขต ฮงชาน ได้ระบุเพิ่มเติมลงในประกาศอย่างรวดเร็วเพื่ออธิบายของโพสต์หางานดังกล่าวว่า "บุคคลที่จะเข้าทำงานในต้องแหน่งนี้จะรับผิดชอบงานบริหารจัดการห้องน้ำสาธารณะของเขตทั้งหมด" ทั้งนี้ประกาศจัดหางานดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าทางการจีนเริ่มให้ความสำคัญต่อการปรับปรุงห้องน้ำอย่างจริงจัง เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบาย.ของประธานาธิบดีสีจิ้งผิง

ที่มา : https://nextshark.com/.

ข่าวดีสำหรับลูกหนี้ค้างจ่าย คลินิกแก้หนี้ มาช่วยคุณแล้ว !!! (สาขาพิษณุโลกก็มีนะจ้ะ)

เผอิญไปได้ยินพ่อค้าแม่ค้าพูดถึงเรื่อง คลีนิคแก้หนี้ เลยสงสัยว่ามันคืออะไร ? สุดท้ายลองไปค้นหาคำตอบเลยมาได้ข้อมูลจาก เวปไซต์ http://www.debtclinicbysam.com/ หรือเวปหลักของคลีนิคแก้หนี้ และเราสามารถสรุปความหมายของ โครงการ คลีนิคแก้หนี้ได้ดังนี้


คลินิกแก้หนี้ คืออะไร ?

คลินิกแก้หนี้ หรือ "โครงการแก้ไขปัญหาหนี้ส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน" เป็นนโยบายของภาครัฐเพื่อช่วยเหลือประชาชนรายย่อยที่มีหนี้ค้างชำระอยู่กับธนาคารพาณิชย์หลายแห่งให้มีโอกาสปลดหนี้ โดยมีบริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (บสส.) หรือ SAM เป็นตัวกลางในการปรับโครงสร้างหนี้ ระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาหนี้สินกับธนาคารพาณิชย์ทั้งหลายให้ได้ข้อยุติในคราวเดียว โดยจะยื่นข้อเสนอให้เรามาจ่ายเขาเพียงที่เดียวแต่ตัวเขาจะไปจ่ายให้เจ้าหนี้ของเราให้ทั้งหมด 

โดยจะช่วยเหลือกลุ่มลูกหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีหนี้กับธนาคารหลายแห่งก่อน ซึ่งจะช่วยลูกหนี้ปรับอัตราดอกเบี้ยลงจากเดิมที่เคยจ่ายประมาณ 20-25% จะเหลือเพียง 4-7% ตามช่วงรายได้

หนี้แบบไหนบ้างที่เข้าร่วมโครงการได้

ต้องเป็นหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน และไม่มีผู้ค้ำประกัน ซึ่งเป็นหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลที่ลูกหนี้มีอยู่กับธนาคารพาณิชย์ที่เข้าร่วมโครงการ ทั้งนี้ สามารถนำยอดหนี้บัตรเครดิตเฉพาะบัตรที่เป็นหนี้เสียทุกใบมาเข้าร่วมโครงการได้ แต่ต้องมียอดหนี้เงินต้นคงค้างไม่เกิน 2 ล้านบาท

กรณีเป็นหนี้นอกระบบจะไม่สามารถเข้าร่วมโครงการนี้ได้

ธนาคารอะไรบ้างที่เข้าร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้

มีธนาคารพาณิชย์เข้าร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้ 17 ธนาคาร ได้แก่
  1. ธนาคารกรุงเทพ
  2. ธนาคารไทยพาณิชย์
  3. ธนาคารกสิกรไทย
  4. ธนาคารกรุงศรีอยุธยา
  5. ธนาคารกรุงไทย
  6. ธนาคารทหารไทย
  7. ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย
  8. ธนาคารไอซีบีซี
  9. ธนาคารเกียรตินาคิน
  10. ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์
  11. ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย)
  12. ธนาคารธนชาต
  13. ธนาคารไทยเครดิตเพื่อรายย่อย
  14. ธนาคารทิสโก้
  15. ธนาคารยูโอบี
  16. ซิตี้แบงก์
  17. แบงค์ออฟไชน่า

คุณสมบัติคนที่จะเข้าร่วมโครงการได

  1. เป็นบุคคลธรรมดา 
  2. มีรายได้ประจำ หรือประกอบอาชีพอิสระที่ไม่มีรายได้ประจำก็ได้ 
  3. ต้องมีอายุไม่เกิน 65 ปี (ต้องไม่เกินตลอดอายุที่อยู่ในโครงการ)
  4. มีหนี้บัตรเครดิต/บัตรกดเงินสด หรือสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน ค้างชำระเกิน 3 เดือน (90 วัน) กับธนาคารตั้งแต่ 2 แห่งขึ้นไปก่อนวันที่ 1 พฤษภาคม 2560
  5. ไม่เป็นผู้ที่ถูกฟ้องดำเนินคดี
  6. ยอดหนี้เงินต้นค้างชำระรวมไม่เกิน 2 ล้านบาท
ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของ บสส. โดยผู้สมัครจะต้องผ่านการพิจารณาคุณสมบัติ รวมถึงการวิเคราะห์ รายได้ รายจ่าย แล้วมีเงินสดคงเหลือเพียงพอในการผ่อนชำระตามเงื่อนไข

เงื่อนไขของการเข้าร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้

  • ลูกหนี้ต้องไม่ก่อหนี้ใหม่เพิ่มในระยะเวลา 5 ปี
  • พร้อมเรียนรู้การสร้างวินัยทางการเงินที่ดี
  • เสียดอกเบี้ยเฉลี่ย 4-7% ต่อปี (ตามช่วงรายได้) ผ่อนนานสูงสุด 10 ปี


อัตราดอกเบี้ยการผ่อนชำระตามช่วงรายได้

  • ผู้ที่มีรายได้ต่อเดือน ไม่เกิน 30,000 บาทขึ้นไป เสียดอกเบี้ยปีละ 4%
  • ผู้ที่มีรายได้ต่อเดือน 30,000–50,000 บาทขึ้นไป เสียดอกเบี้ยปีละ 5%
  • ผู้ที่มีรายได้ต่อเดือน 50,000–100,000 บาทขึ้นไป เสียดอกเบี้ยปีละ 6%
  • ผู้ที่มีรายได้ต่อเดือน 100,000 บาทขึ้นไป เสียดอกเบี้ยปีละ 7%
สมัครโครงการคลินิกแก้หนี้ได้ที่ไหน
ผู้สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้ได้ 4 ช่องทางคือ
  1. ทางเว็บไซต์ www.คลินิกแก้หนี้.com หรือ www.debtclinicbysam.com
  2. ติดต่อที่สำนักงานโครงการ เลขที่ 333 อาคารเล้าเป้งง้วน 1 ชั้น 12 ซอยเฉยพ่วง ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900
  3. ติดต่อที่ สาขาของ บสส. 4 สาขา
  • สาขาสุราษฎร์ธานี 213/17 หมู่ 1 ถนนเพชรเกษม ตำบลมะขามเตี้ย อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี 84000
  • สาขาขอนแก่น 381/46-47 หมู่ 17 ถนนมิตรภาพ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น 40000
  • สาขาพิษณุโลก 5/16-17 หมู่ 5 ถนนสิงหวัฒน์ ตำบลบ้านคลอง อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก 65000
  • สาขาเชียงใหม่ 109/4 ถ.เชียงใหม่-ลำปาง (ท.ล.11) กม.98.7 เทศบาลตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 50300
  • ทาง Call Center 02-610-2266 ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 08.30-17.00 น. (เว้นวันหยุดตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย)


ขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้

  1. ขั้นตอนที่ 1 : ตรวจสอบคุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการผ่านเว็บไซต์ www.debtclinicbysam.com หรือ www.คลินิกแก้หนี้.com หรือ Call Center (โทร. ติดต่อ) 02-610-2266
  2. ขั้นตอนที่ 2 : กรอกข้อมูลในแบบฟอร์มใบสมัคร และยืนยันข้อมูลผ่านเว็บไซต์ได้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2560 เป็นต้นไป (ดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่นี่)
  3. ขั้นตอนที่ 3 : รอเจ้าหน้าที่โครงการติดต่อกลับ เพื่อนัดหมาย วัน เวลา เข้าพบที่สำนักงาน (โดยปกติจะติดต่อกลับไม่เกิน 1 วันทำการ แต่หากไม่ได้รับการติดต่อกลับ ให้โทร. มาสอบถามเพิ่มเติมที่ Call Center 02-610-2266)
  4. ขั้นตอนที่ 4 : จัดเตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับประกอบการพิจารณา 
  5. ขั้นตอนที่ 5 : พบเจ้าหน้าที่โครงการที่สำนักงานโครงการ เพื่อพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้
  6. ขั้นตอนที่ 6 : เจ้าหน้าที่โครงการจะนัดหมาย เพื่อลงนามสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ เมื่อได้รับการยืนยันจากธนาคารเจ้าหนี้ให้เข้าร่วมโครงการ
เอกสารที่ต้องใช้ประกอบการพิจารณา
  1. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หรือสำเนาบัตรข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ
  2. สำเนาทะเบียนบ้าน
  3. ใบเปลี่ยนชื่อ-ชื่อสกุล (ถ้ามี)
  4. เอกสารการตรวจสอบข้อมูลภาระหนี้จากเครดิตบูโร
  5. สลิปเงินเดือน ย้อนหลัง 3 เดือน
  6. เอกสารแสดงการเดินบัญชี (Statement) อย่างน้อย 6 เดือนย้อนหลัง
  7. บัตรเงินบำนาญ (กรณีเป็นข้าราชการ)
  8. ใบแนบหนังสือสั่งจ่าย (กรณีเป็นข้าราชการ)
  9. หลักฐานการแสดงรายได้อื่น เช่น สัญญาให้เช่า สัญญาว่าจ้าง ฯลฯ
  10. ใบแจ้งหนี้/เอกสารแสดงความเป็นหนี้
  11. หนังสือยินยอมเปิดเผยข้อมูลเครดิตบูโร
สามารถตรวจสอบตัวอย่างเอกสารได้ที่ debtclinicbysam.com

ประโยชน์ที่จะได้รับจากโครงการคลินิกแก้หนี้

  • ไม่ถูกทวงถามหนี้จากเจ้าหนี้หลายราย
  • ลดภาระการผ่อนชำระต่อเดือน เพราะชำระเฉพาะเงินต้นค้างชำระ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราผ่อนปรนไม่เกิน 7% ตามช่วงรายได้ ระยะเวลาผ่อนชำระได้ไม่เกิน 10 ปี
  • เป็นการรวมหนี้ และผ่อนชำระในที่เดียว
  • รู้จักวางแผนทางการเงินที่ดี
ทั้งนี้ผู้เข้าร่วมโครงการจะต้องชำระค่างวดให้ตรงตามสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ และไม่สามารถก่อหนี้ใหม่ได้ภายใน 5 ปี ซึ่งหากผิดสัญญาจะมีผลให้สัญญาปรับโครงสร้างหนี้สิ้นสุดลง และต้องออกจากโครงการ หากใครสนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.debtclinicbysam.com หรือ www.คลินิกแก้หนี้.com หรือ Call Center (โทร. ติดต่อ) 02-610-2266

โดนรวมจากที่แอดอ่านและสรุปไปเลยว่า โครงการหนี้สำหรับคนที่ เป็นหนี้บัตรเครดิต หรือ สินเชื่อต่างๆค้างจ่าย 3 เดือนขึ้นไป แต่ยังไม่ได้โดนฟ้อง สามารถเข้าร่วมโครงการนี้ได้และผ่อนจ่ายเป็นกับทางโครงการนี้ที่เดียว แถมดอกลด และยืดระยะผ่อนได้สูงสุด 10 ปี นับว่าเป็นโอกาสดีสำหรับผู้ที่มีหนี้ค้างจ่าย แต่ไม่รู้จะจ่ายยังไงไหว แต่โครงการนี้ลูกหนี้ผ่อนชำระดีหมดสิทธินะครับ


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
คลินิกแก้หนี้.com, เฟซบุ๊ก ธนาคารแห่งประเทศไทย
แฟนเพจ คลีนิคแก้หนี้
ขอขอบคุณเนื้อหาสรุปจาก Kapook.com



แจกบัตรคนจน เฟส 2 ใครเข้าร่วมโครงการแก้จนให้เพิ่มรายละ 100-200 บาท

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เฟส 2 แก่ผู้ที่ผ่านการตรวจสอบในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2560 ภายใต้งบประมาณ 35,679.09 ล้านบาท ประกอบด้วยค่าใช้จ่าย 2,989.17 ล้านบาท งบประมาณเพื่อรองรับการพัฒนาและส่งเสริมคุณภาพชีวิต ไม่เกิน 18,807.41 ล้านบาท และงบประมาณสำหรับซื้อสินค้าอุปโภคและบริโภคที่จำเป็น สินค้าเพื่อวัตถุดิบในร้านค้าประชารัฐวงเงิน 13,872.51 ล้านบาท



“มาตรการช่วยเหลือคนจนเฟส 2 เป็นมาตรการสมัครใจ หากใครแสดงความประสงค์ที่จะร่วมกับภาครัฐ ภายในเดือนมี.ค. 2561 จะมีการเพิ่มเงินช่วยเหลือในค่าครองชีพ ค่ารถโดยสาร ค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของผู้ที่มีจัดสรรเงินไว้ วงเงิน 13,872 ล้านบาท แบ่งเป็น ผู้ที่มีรายได้ไม่เกินปีละ 3 หมื่นบาท ได้รับเงินเพิ่มคนละ 200 บาทต่อเดือน และที่มีรายได้สูงกว่าปีละ 3 หมื่นบาท แต่ไม่เกิน 1 แสนบาท ได้รับเงินเพิ่มคนละ 100 บาทต่อเดือน เชื่อว่า จะช่วยเหลือผู้ที่มีรายได้น้อยมีรายได้พ้นเส้นความยากจนได้ประมาณ 4.7 ล้านคน มาตรการนี้จะเป็นการเริ่มให้ตกปลา ไม่ได้แจกปลา เพื่อความยั่งยืนของคุณภาพชีวิตคนไทย”

นายณัฐพร กล่าวว่า ทั้งนี้ การจะรับเงินเพิ่มดังกล่าวได้ ต้องมีเงื่อนไขให้ผู้ที่มีรายได้น้อยต้องลงทะเบียนเข้าร่วมการพัฒนารายบุคล ทั้งฝึกอาชีพและพัฒนาทักษะ ตามที่รัฐบาลกำหนด โดยผู้ที่เข้ารับการฝึกอาชีพจะได้รับเงินในเดือนถัดไปหลังจากที่ได้แสดงความประสงค์เข้าร่วมโครงการได้จนถึงเดือนธ.ค. 2561 เบื้องต้น คาดว่า เงินก้อนแรกจะลงไปถึงมือได้ประมาณเดือนมี.ค. 2561 นี้ และในการดำเนินการดังกล่าว หากผู้ที่เข้าร่วมฝึกอบรมผิดเงื่อนไขไม่ทำตามที่กำหนดไว้ รัฐจะหักเงินเพิ่มในเดือนถัดไปออกทันที

อย่างไรก็ตาม นอกจากการจัดสรรวงเงินเพิ่มให้ผู้มีรายได้น้อยแล้ว ยังมีโครงการต่างของหน่วยงานภาครัฐที่จะเข้าไปพัฒนาผู้มีรายได้น้อย รวมกันถึง 34 โครงการ ทั้งการส่งเสริมให้มีงานทำ 5 โครงการ การฝึกอบรมและการศึกษา 10 โครงการ การเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ 11 โครงการ และการเข้าถึงสิ่งจำเป็นพื้นฐาน 8 โครงการ โดยในจำนวนนี้มีโครงการที่ขอรับการสนับสนุนเงินงบประมาณจากภาครัฐ 6 โครงการ วงเงินรวม 18,807 ล้านบาท ทั้งโครงการเพิ่มทักษะอาชีพเกษตรกร 110 หลักสูตร การจ้างแรงงานภาคเกษตรก่อสร้างและบำรุงรักษางานชลประทาน ของกระทรวงเกษตรฯ ฝึกอาชีพเร่งด่วนช่างเอนกประสงค์ จัดหลักสูตรฝึกอาชีพเสริม 3 หลักสูตร และค้นหาตำแหน่งงานว่างผ่านตู้งาน ของกระทรวงแรงงาน

ขณะเดียวกันยังมีโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) วงเงิน 4.5 หมื่นล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายและค่าลงทุนในการรวมกลุ่มการผลิตและบริหารจัดการร่วมกันของวิสาหกิจชุมชน วงเงินกลุ่มละไม่เกิน 10 ล้านบาท และยังมีโครงการปรับโครงสร้างหนี้ โดยจะพักชำระเงินต้นให้ 2 ปี รวมทั้งโครงการสนับสนุนสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน ระยะที่ 2 วงเงินสินเชื่อรวม 1 หมื่นล้านบาท กู้ได้รายละไม่เกิน 5 หมื่นบาท

นอกจากนี้ ยังมีโครงการของธนาคารออมสิน และธ.ก.ส. ที่ขอเป็นโครงการธุรกรรมนโยบายรัฐ อีก 18 โครงการ เช่น การปล่อยสินเชื่อ เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษสวัสดิการแห่งรัฐ และโครงการมหาวิทยาลัยประชาชน คลินิกสุขภาพเคลื่อนที่ของธนาคารออมสิน ส่วนธ.ก.ส.มีทั้งการให้ความรู้เกษตรกร สินเชื่อชุมชนปรับเปลี่ยนการผลิตเพื่อพัมนาอาชีพคนมีรายได้น้อย และการปรับปรุงโครงกสร้างหนี้ ขณะเดียวกันยังมีมาตรการภาษีของกรมสรรพากร ที่จะให้นายจ้างฝึกทักษะฝีเมือให้ลูกจ้างที่ถือบัตรสวัสดิการ สามารถนำค่าใช้จ่ายมาหักลดหย่อนได้ 1.5 เท่าได้ ในรอบบัญชีตั้งแต่ 1 ม.ค. 2561-31 ธ.ค. 2562

นายณัฐพร กล่าวต่อว่า ที่ประชุมยังเห็นชอบให้ตั้งคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (คนส.) และคณะอนุกรรมการติดตาม (คอต.) และคณะอนุกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับจังหวัด (คอจ.) และตั้งคณะทำงานพัฒนาคุณภาพชีวิตประจำอำเภอ (ทีมปรจ.) ขึ้น เพื่อขับเคลื่อนการทำงาน และยังมีผู้ดูแลผู้มีสวัสดิการแห่งรัฐ ที่เป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารออมสิน และธ.ก.ส. จำนวนประมาณ 4 หมื่นคน เข้าไปตรวจสอบ และสัมภาษณ์เป็นรายคน เพื่อให้ได้ข้อมูลสภาพปัญหาทั้งหมด และจากนั้นจึงสรุปผลการทำมาตรการทั้งหมดในเดือนธ.ค. 2561 เพื่อดู้ว่า จะทำมาตรการต่อเนื่องในระยะที่ 3 อย่างไร

ส่วนในปี 2561 นี้ รัฐบาลจะยังไม่มีการเปิดให้ลงทะเบียนเพิ่มเติม เพราะต้องการดูผลสำเร็จของการแก้ปัญหาคนมีรายได้น้อนยที่มาลงทะเบียนกว่า 11.4 ล้านคนก่อน

นายพรชัย ฐีระเวช รองโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังคาดว่า การดำเนินมาตรการดังกล่าว หากทำได้สำเร็จจะช่วยผลักดันให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพี ขยายตัวได้ประมาณ 0.06%

ที่มา ข่าวสด

4 เคล็ดลับ คนอยากมีบ้าน ยื่นกู้อย่างไรให้ผ่าน

หลายคนก็อยากมีสินทรัพย์ที่เป็นของตนเองและครอบครัว โดยสิ่งแรกที่นึกถึง คือ การมีบ้านสักหลังเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยกับคนที่เรารัก ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

เนื่องจากในปัจจุบันมีระบบสินเชื่อสมัยใหม่ พร้อมด้วยการบริหารจัดการของธนาคารผู้ให้สินเชื่อที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้น มาสำรวจความพร้อมก่อนกู้บ้านกับธนาคารออมสินกันเลยดีกว่า



1. มองหาบ้านที่เหมาะสม
  • การเลือกทำเลที่ตั้งถือเป็นปัจจัยต้นๆ เพราะการเดินทางในแต่ละวัน ก็คือรายจ่ายในแต่ละเดือน เราจึงต้องคำนวณเส้นทางและการเดินทางเป็นอย่างดี อีกหนึ่งปัจจัยหลักและเป็นปัจจัยสำคัญที่หนีไม่ได้ ก็คือ ราคาบ้าน หากราคาบ้านที่สูงจนเกินไป ก็จะเป็นภาระหนักอึ้งของแต่ละเดือน
  • ฉะนั้นการคำนวณค่างวดรายเดือนง่ายๆ ก็คือ ไม่เกิน 20-30% ของรายรับต่อเดือน เช่น เงินเดือน 10,000 บาท ค่าผ่อนบ้านก็ไม่ควรเกิน 3,000 บาทต่อเดือน ซึ่งโดยปกติแล้วธนาคารจะพิจารณาสัดส่วนเงินงวดต่อรายได้สุทธิ หรือ Monthly Payment to Net Income Ratio ไม่เกิน 33%
2. เก็บเงินดาวน์ให้ได้
  • สิ่งสำคัญในการขอสินเชื่อบ้านให้ได้ง่ายขึ้น ก็คือ “เงินดาวน์” ยิ่งเรามีเงินดาวน์บ้านมาก โอกาสที่เราจะกู้ผ่านก็ยิ่งมากขึ้น ปกติเงินดาวน์บ้านมักจะอยู่ที่ 10-20% ของราคาบ้าน เช่น ราคาบ้าน 1 ล้านบาท เราควรมีเงินดาวน์อย่างน้อย 1 แสนบาท โดยธนาคารจะพิจารณาสินเชื่อจากรายได้ของผู้กู้ และผู้ร่วมกู้เป็นหลัก
  • โดยการให้กู้จะประมาณ 30-40 เท่าของรายได้ เช่น ถ้าคุณมีเงินเดือน 100,000 บาท (รวมกันกับผู้ร่วมกู้) จะได้วงเงินกู้สูงสุด 3-4 ล้านบาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของอาชีพ และความมั่นคงของรายได้ ยิ่งถ้าหากเรามีเงินดาวน์บ้านประมาณ 20% ของราคาบ้าน การยื่นกู้ก็จะผ่านได้ง่ายขึ้น


3. จัดการกับหนี้สินที่มีอยู่เดิมให้หมด
  • การยื่นขอสินเชื่อบ้านนั้น ธนาคารมักจะพิจารณาภาระหนี้สินอื่นๆ ที่คุณมีอยู่ด้วย เช่น สินเชื่อส่วนบุคคล หรือสินเชื่อรถยนต์ เพราะถ้ายังมีหนี้สินค้างอยู่ ธนาคารจะนำมาพิจารณาความสามารถในการผ่อนชำระหนี้ของคุณ ยิ่งถ้าเราเคลียร์หนี้สินอื่นๆ ให้หมดก่อนแล้วนั้น จะทำให้ช่วยแบ่งเบาภาระในการผ่อนสินเชื่อบ้านของคุณได้อีกด้วย
4. จงเรียนรู้เงื่อนไขของธนาคาร
  • หลักคุณสมบัติที่ผู้กู้ต้องคำนึงถึง ได้แก่
  • อายุของผู้กู้ เมื่อรวมกับจำนวนปีที่ขอกู้แล้วจะต้องไม่เกิน 70 ปี
  • ผู้กู้ร่วมรายอื่น นอกจากผู้ที่เป็นคู่สมรส บิดามารดา พี่น้อง หรือบุตรแล้ว จะมีผู้กู้ร่วมคนอื่นได้อีกไม่เกิน 1 คน
  • · ผู้กู้ร่วมที่ไม่ใช่คู่สมรส และบุตร จะต้องถือกรรมสิทธิ์ร่วมในทรัพย์ที่จำนองด้วย
  • · ประวัติการชำระหนี้ ในกรณีที่ผู้กู้ต้องการขอกู้เงินเพื่อไถ่ถอนจำนองจากสถาบันการเงินอื่นๆ ผู้กู้ต้องมีประวัติการชำระหนี้ดีมาแล้วอย่างน้อย 12 งวด

อย่างไรก็ตามข้อมูลต่างๆ ข้างต้นเป็นเพียงหลักเกณฑ์การวิเคราะห์สินเชื่อทั่วไป หากเป็นสินเชื่อสวัสดิการ หรือสินเชื่อโครงการพิเศษต่างๆ ธนาคารอาจผ่อนปรนเงื่อนไขการกู้ได้

สุดท้ายเราจะต้องสำรวจความพร้อมของผู้กู้เสียก่อน และอย่าลืมเตรียมเอกสารต่างๆ เพื่อการยื่นขอสินเชื่อด้วย เห็นไหมล่ะว่าสินเชื่อเพื่อสิ่งที่คุณฝันไม่ยากอย่างที่คิด

ขอขอบคุณ

ธอส.รายได้ 12,000 บาท ให้กู้1ล้าน ผ่อนเพียง 4,200 บาท/เดือน เท่านั้น!!

นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ผู้มีรายได้น้อยที่ได้รับสิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ บัตรคนจน ที่ต้องการขอสินเชื่อในโครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ วงเงิน 30,000 ล้านบาท ที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไปเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2560 ที่ผ่านมา


กรณีจะขอสินเชื่อไม่เกิน 1 ล้านบาท จะต้องเป็นผู้ที่มีรายได้สุทธิต่อเดือนประมาณ 12,000 บาท และมีค่าใช้จ่ายในการผ่อนชำระต่อเดือนไม่เกิน 4,200 บาท และเพื่อให้ที่มีรายได้น้อย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ไม่มีงานทำสามารถกู้เงินได้ ธอส.เปิดให้สามารถขอกู้ร่วมในโครงการได้

“ผู้ถือบัตรคนจนสามารถขอกู้ได้ไม่เกิน 2 ล้านบาท แต่ส่วนใหญ่เป็นผู้ไม่มีรายได้ ไม่มีงานทำ ธอส.จึงเปิดให้สามารถยื่นขอกู้ร่วมได้

เพราะหากเป็นการกู้ร่วม ก็ไม่ต้องเดินบัญชีไว้ แต่หากต้องการขอสินเชื่อด้วยตัวเอง และมีความสามารถในการขอสินเชื่อ ก็ต้องมีการเดินบัญชีไว้เหมือนลูกค้าปกติ”นายฉัตรชัย กล่าว

ทั้งนี้ โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ วงเงิน 30,000 ล้านบาท เป็นการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ที่มีรายได้ไม่เกิน 25,000 บาทต่อเดือน โดยครอบคลุมสิทธิถึงผู้ที่ถือบัตรคนจน ทั้งที่ประกอบอาชีพประจำ และอาชีพอิสระ เพื่อใช้ซื้อ ปลูกสร้าง หรือซื้อที่ดินพร้อมปลูกสร้างเพื่อที่อยู่อาศัย โดยแบ่งเป็น 10,000 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ไม่เกิน 1 ล้านบาท

อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.75% ที่ 4 ปีแรกและวงเงิน 20,000 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ไม่เกิน 2 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3% ที่ 4 ปีแรก เช่นกัน โดยจะเปิดรับคำขอสินเชื่อตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของเดือน ม.ค.2561 เป็นต้นไป

นายฉัตรชัย กล่าวว่า ปัจจุบันธนาคารมีการปล่อยสินเชื่อในวงเงินไม่เกิน 2 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 87% ของวงเงินสินเชื่อที่ปล่อยไปทั้งหมด โดยการปล่อยสินเชื่อต่ำกว่า 1 ล้านบาทเชื่อว่าจะมีความน่าสนใจ

และช่วยกระตุ้นผู้ประกอบการในการปล่อยที่อยู่อาศัยออกสู่ตลาดมากขึ้น โดยจากข้อมูลพบว่ายังมีที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท คงเหลืออีกกว่า 20,000 ยูนิต ทั่วประเทศ

ในจำนวนนี้มีที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯ ด้วยซึ่งอยู่ในย่านรังสิต และโครงการดังกล่าวจะช่วยให้การปล่อยสินเชื่อของธนาคารในปี 2561 เป็นไปตามเป้าหมายที่ 1.98 แสนล้านบาท ซึ่งขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2560 ที่ 6%

ขอบคุณเนื้อหาข่าวจาก khaosod