แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Article แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Article แสดงบทความทั้งหมด

"อาชีพดมกลิ่น" ขึ้นทะเบียนรับรอง 167 คนแล้ว ค่าตอบแทนครั้งล่ะ 600 บาท

เพราะปัญหาร้องเรียนมลพิษที่เกิดจากโรงงานเกิดจากความเหม็นอย่างมาก ซึ่งเป็นปัญหาระดับต้นๆของโรงงานทุกที่ ทำให้กรมควบคุมมลพิษไม่นิ่งเฉย จึงได้ "กำหนดมาตรฐานค่าความเข้มกลิ่นของอากาศเสียที่ปล่อยทิ้งจากแหล่งกำเนิดมลพิษ" และวิธีที่ใช้กำหนด คือ การดมกลิ่น นั้นเอง และได้ผลตอบแทนต่อครั้งถึง 600 บาท ซึ่งการจะเป็นผู้ดมกลิ่นนั้นไม่ใช่เรื่อง่ายเลย ต้องผ่านการทดสอบตามมาตรฐานที่คพ.กำหนดเอาไว้ อายุ 18-60 ปี มีอายุการทำงาน 1 ปี แถมต้องมีสุขภาพแข็งแรงด้วยเสียด้วย 




วันที่ 16 มิถุนายน นายจตุพร บุรุษพัฒน์ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) เปิดเผยว่า เนื่องจากปัจจุบันมีปัญหาร้องเรียนเรื่องมลพิษที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรมถึงร้อยละ 60 ของเรื่องร้องเรียนทั้งหมด ซึ่งปัญหากลิ่นเหม็นจัดเป็นปัญหาที่มีการร้องเรียนเป็นลำดับแรกมาตลอดทุกปี ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 40 ของปัญหาที่มีการร้องเรียนทุกด้าน จากปัญหาดังกล่าวจึงเป็นที่มาของประกาศ ทส.เรื่อง “กำหนดมาตรฐานค่าความเข้มกลิ่นของอากาศเสียที่ปล่อยทิ้งจากแหล่งกำเนิดมลพิษ” ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 11 กรกฎาคม 2553 บังคับใช้กับโรงงานอุตสาหกรรม จำนวน 23 ประเภท โดยส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมที่ไม่มีการใช้สารเคมีอันตราย ในการผลิต เนื่องจากวิธีตรวจวัดตามประกาศฯ กำหนดให้ใช้วิธีการดมกลิ่น (Sensory test) จมูกของคนดมเพื่อตรวจวิเคราะห์กลิ่น (Panelist) ซึ่งผู้ที่จะทำหน้าที่ดมกลิ่นจะต้องผ่านการทดสอบและขึ้นทะเบียนผู้ดมกลิ่นจากคพ. หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมโรงงานอุตสาหกรรม ตามประกาศคณะกรรมการควบคุมมลพิษ เรื่อง วิธีตรวจวัดค่าความเข้มกลิ่นโดยการวิเคราะห์กลิ่นด้วยการดม (Sensory test) และการขึ้นบัญชีรายชื่อผู้ทดสอบกลิ่นของกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงวันที่ 11 สิงหาคม 2554
นายจตุพร กล่าวว่า โดยล่าสุด คพ. ได้จัดให้มีการทดสอบเพื่อขึ้นทะเบียนเป็นผู้ดมกลิ่น โดยมีผู้ผ่านและการทดสอบตามประกาศกรมควบคุมมลพิษ เรื่อง บัญชีรายชื่อผู้ทดสอบกลิ่นของคพ.(ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2560) เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2560 จำนวนทั้งสิ้น 167 คน โดยเป็นเจ้าหน้าที่คพ. 100 คน กรมทรัพยากรน้ำ 2 คน สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาค 19 คน กรุงเทพมหานคร 5 คน บริษัทเอกชน 33 คน และสถาบันการศึกษา 8 คน

“โดยผู้ดมกลิ่นเหล่านี้จะทำหน้าที่ในการตรวจวิเคราะห์ค่าความเข้มกลิ่นที่เก็บตัวอย่างมาจากแหล่งกำเนิดมลพิษ ซึ่งจะต้องใช้คนดมครั้งละ 6 คน ซึ่งแต่ละคนจะได้รับค่าตอบแทนในการดมตามที่กรมบัญชีกลางกำหนดคือ 600 บาทต่อตัวอย่าง และในแต่ละครั้งจะดมกลิ่นได้ไม่เกิน 3 ตัวอยาง ซึ่งในปี 2559 มีการทดสอบกลิ่นด้วยการดมจากกรณีปัญหาร้องเรียนรวมมากกว่า 30 เรื่อง ซึ่งวิธีการตรวจวิเคราะห์กลิ่นด้วยการดมมีการใช้กันอย่างแพร่หลายในต่างประเทศ อาทิเช่น สหรัฐอเมริกา เกาหลี ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ออสเตรียและเยอรมันนี เป็นต้น”นายจตุพร กล่าว 
อธิบดีคพ.กล่าวว่า ทั้งนี้ เพื่อให้การติดตามตรวจสอบและวิเคราะห์กลิ่นมีความเป็นมาตรฐาน คพ. ได้จัดการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง การเก็บตัวอย่างกลิ่นและการตรวจวิเคราะห์กลิ่นด้วยการดม ครั้งที่ 1 ประจำปี 2560 สำหรับเจ้าหน้าที่จากสำนักงานสิ่งแวดล้อมภาค และสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเข้าร่วมจำนวน 50 คน โดยการฝึกอบรมครั้งนี้เป็นการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคนิคที่ในการตรวจวัดและตรวจวิเคราะห์กลิ่นให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใน ทส. ให้สามารถตรวจสอบและเฝ้าระวังปัญหากลิ่นรบกวนจากการประกอบกิจการต่างๆ ทั้งโรงงานอุตสาหกรรม สถานประกอบการ ตลอดจนสถานที่ เลี้ยงสัตว์ได้อย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ รวมทั้งสามารถให้คำแนะนำในการควบคุมและลดปัญหากลิ่นที่เกิดจากการประกอบกิจการได้อย่างมีประสิทธิภาพ


นายพันธศักดิ์ ถิรมงคล ผู้อำนวยการส่วนมลพิษทางอากาศจากโรงงานอุตสาหกรรม คพ. กล่าวว่า ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกเพื่อขึ้นทะเบียนเป็นมนุษย์ดมกลิ่นนั้น ผ่านการทดสอบตามมาตรฐานที่คพ.กำหนดเอาไว้ อายุ 18-60 ปี มีอายุการทำงาน 1 ปี ต้องมีสุขภาพแข็งแรง มีค่าตอบแทนการทำงานตามที่กระทรวงการคลังกำหนดไว้คือ ตัวอย่างละ 600 บาท
“การวัดโดยการดมกลิ่นแบบนี้ค่าจะออกมาเป็นตัวเลยเลย โดยมีค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ตามประกาศกรมควบคุมมลพิษ 23 ประเภท เช่น โรงงานบ่มใบยาสูบ โรงงานฆ่าสัตว์ โรงงานผักผลไม้กระป๋อง โรงงานสุรา โรงงานทำอาหารสัตว์ โรงงานน้ำตาล เป็นต้น โดยขั้นตอนการทำงานคือ เมื่อได้รับการร้องเรียน เจ้าหน้าที่จะไปเก็บตัวอย่าง 2 จุด คือ บริเวณริมรั้วของโรงงาน กับที่บริเวณปล่องระบายอากาศ ในพื้นที่ในเขตอุตสาหกรรม กับนอกเขตอุตสาหกรรม โดยเจ้าหน้าที่จะไปดูดอากาศโดยใช้ปั๊มใส่ถุงไว้ประมาณ 10 ลิตร แล้วเอามาตรวจสอบในห้องปฏิบัติการ(ห้องแล็ป) ภายใน 24 ชั่วโมง จากนั้นจึงเรียกมนุษย์ดมกลิ่นที่ขึ้นทะเบียนเอาไว้มาปฏิบัติหน้าที่ 6 คน มนุษย์ดมกลิ่นที่จะไปดมกลิ่นที่ได้มาจากการเก็บตัวอย่าง จะต้องเตรียมตัวเอง หรือเคลียร์จมูกก่อนทำงาน โดยการดมสารเคมี 5 กลิ่นก่อน คือ กลิ่นดอกไม้ กลิ่นเหม็นไหม้ กลิ่นถุงเท้าอับๆ กลิ่นผลไม้ เช่น กลิ่นแตงโมง ลิ้นจี่ และกลิ่นอุจจาระ”นายพันธศักดิ์ กล่าว 
นายพันธศักดิ์ กล่าวว่า ค่าตัวเลขที่ออกมาคืออัตราการเจือจางของอากาศที่ไม่มีกลิ่น กับตัวอย่างของอากาศที่มีกลิ่น ซึ่งคพ.มีมาตรฐานที่กำหนดเอาไว้อยู่แล้ว เช่น บริเวณ ริมรั้วโรงงานอุตสาหกรรมต้องไม่เกิน 15 หน่วย ในโรงงานอุตสาหกรรมไม่เกิน 1,000 หน่วยเป็นต้น

เมื่อถามว่า ผู้ที่เป็นมนุษย์ดมกลิ่นจะได้รับผลกระทบด้านสุขภาพจากการดมกลิ่นหรือไม่ นายพันธศักดิ์ กล่าวว่า ไม่มีผลอะไร เพราะกลิ่นที่ดม ไม่ได้เป็นกลิ่นของสารเคมี เมื่อถามอีกว่า ผลสรุปที่ได้จากมนุษย์ดมกลิ่นเหล่านี้ จะนำไปอ้างในการฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายต่อศาลได้หรือไม่ นายพันธศักดิ์ กล่าวว่า ได้แน่นอน เพราะเรื่องนี้อยู่ในประกาศของกรม และเป็นไปตามพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2535

ขอบคุณที่มา มติชนออนไลน์ 

นับถือหัวใจหมอ !!! รพ.ดอนจาน จ.กาฬสินธุ์ มีแพทย์ประจำ 1 คน

รพ.ดอนจาน สถานพยาบาลของรัฐประจำ อ.ดอนจาน จ.กาฬสินธุ์ มีแพทย์ประจำเพียง 1 คน



ที่โรงพยาบาลดอนจาน ต.สะอาดไชยศรี อ.ดอจาน จ.กาฬสินธุ์ สถานพยาบาลของรัฐที่เต็มไปด้วยประชาชนที่มารับการรักษาตลอดเวลาทำการ ในเวลา 08.00 - 20.30 น. มี นพ.จารึก ประคำ เป็นแพทย์ตรวจรักษาคนไข้ ควบตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลดอนจาน

จากการตรวจสอบพบโรงพยาบาลดังกล่าว มีบุคลากรทั้งหมด 49 คน ซึ่งโรงพยาบาลดอนจาน มีพื้นที่รับผิดชอบดูแลผู้ช่วยใน 5 ตำบล 48 หมู่บ้าน ประชากรราว ๆ 25,000 - 30,000 คน

ด้าน นพ.จารึก กล่าวว่า โรงพยาบาลดอนจาน เปิดให้การรักษาประชาชนที่เจ็บป่วยตลอดทั้งวันระหว่างเวลา 08.00 - 20.30 น. ทุกวันไม่มีวันหยุดราชการ ซึ่งตำแหน่งแพทย์ผู้รักษามี 3 ตำแหน่ง แต่มีแพทย์ประจำการเพียง 1 คน โดยที่ตนเองเป็นผู้สมัครใจขอย้ายมาประจำที่โรงพยาบาลแห่งนี้ ด้วยแรกเริ่มเห็นว่าโรงพยาบาลแห่งนี้อยู่ในเขตชนบทห่างไกล ประชาชนมีความเดือดร้อน จากเดิมที่เคยเกรงว่าจะต้องทำงานหนัก และอาจจะทำงานไม่ไหว แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มของชาวบ้านก็มีพลังขึ้นมา และคิดว่าจะปักหลักอยู่ที่โรงพยาบาลดอนจานไปตลอด

ซึ่งการเป็นแพทย์ที่โรงพยาบาลดอนจานจะต้องดูแลรักษาคนป่วยเฉลี่ยประมาณวันละ 100 - 120 รายต่อวัน และต้องแบ่งเวลาในเรื่องการบริหาร ความเดือดร้อนที่เกิดขึ้น คือ บุคลากรที่มีน้อย ซึ่งเป็นข้อจำกัด เนื่องจากชาวบ้านมีความต้องการหมอจำนวนมาก

ทั้งนี้ หากเป็นไปได้ ตนก็อยากให้มีแพทย์ประจำมาเพิ่ม เพราะโดยปกติตำแหน่งแพทย์จะมี 3 ตำแหน่ง พร้อมบุคลากรการแพทย์ทั้งทันตแพทย์ พยาบาล และเภสัช แต่ทั้งนี้ก็เข้าใจดีว่าคนที่เรียนแพทย์จบมีน้อย บางรายก็หันไปสนใจวงการแพทย์ด้านความสวยงาม หรือออกไปอยู่กับโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งจากนี้ไปตนก็จะต้องเร่งพัฒนาโรงพยาบาลให้เจริญก้าวหน้าเท่าเทียมกับที่อื่นๆ เพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงระบบบริการสาธารณสุขมากขึ้น โดยเฉพาะการเปิดบริการตลอด 24 ชั่วโมง

ที่มา http://news.sanook.com/2154646/



6 ทักษะที่ควรมี ถ้าอยากประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน


เนื้อหาจาก kapook.com

1. มีทักษะในการสื่อสาร

การสื่อสาร คือ ทักษะที่มีความจำเป็นทั้งต่อการทำงานและการใช้ชีวิตมาก เพราะเมื่อคุณต้องการจะมีปฏิสัมพันธ์กับใคร คุณก็ต้องใช้ทักษะในการสื่อสารเป็นตัวช่วยในการบอกความรู้สึกนึกคิดออกไป ซึ่งไม่ได้หมายถึงแค่การเปล่งเสียงพูดออกไปเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการรู้จักสบตากับคู่สนทนา, การออกเสียง, วิธีการเลือกใช้คำพูด และการนำความรู้ทั่วไปมาใช้ในการสื่อสารด้วย เพราะคนส่วนใหญ่มักจดจำผู้พูดที่ดี มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวได้ ฉะนั้นแนะนำให้ลองอ่านหนังสือเยอะ ๆ เพื่อเพิ่มความรู้ให้กับตัวเอง และฝึกพูดกับคนทั่วไป จะช่วยพัฒนาทักษะเรื่องการสื่อสารให้ดีขึ้นได้

2. มีความมั่นใจ

หากคิดจะก้าวขึ้นไปเป็นผู้นำคน ความมั่นใจ เป็นสิ่งสำคัญที่คุณต้องพกติดตัวไว้ตลอดเวลา เพราะเมื่อไหร่ที่มีโอกาสได้ไปยืนอยู่ในจุดที่สูงขึ้นแล้ว หน้าที่ความรับผิดชอบและการตัดสินใจย่อมมีมากขึ้นตามลำดับด้วย ซึ่งบุคลลิกของผู้นำที่ดีต้องมีความเด็ดเดี่ยว กล้าคิดกล้าตัดสินใจ โดยไม่เกรงกลัวต่อความล้มเหลวใด ๆ ทั้งสิ้น แต่หากเกิดเรื่องผิดพลาดก็จงน้อมรับสิ่งที่เกิดขึ้น และไม่ต้องสูญเสียความมั่นใจไป เพราะบรรดาคนที่ประสบความสำเร็จต่างล้วนเคยล้มเหลวกันมาก่อนแล้วทั้งนั้น

3. มีความรับผิดชอบ


รู้จักรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นจากการกระทำของตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว คุณต้องรู้จักก้าวออกมาแสดงรับผิดชอบ เพราะสิ่งนี้คือบุคลิกของผู้นำที่ดี แล้วลูกน้องที่อยู่ใต้บังคับบัญชาจะให้ความเคารพนับถือในตัวคุณมากยิ่งขึ้น

4. มีทัศนะคติที่ดี

กุญแจหลักสำคัญที่คุณต้องมีหากต้องการจะประสบความสำเร็จในชีวิตนั่นคือ การมีทัศนะคติที่ดีทั้งต่อตนเองและผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นบริษัท, เพื่อนร่วมงานหรือลูกน้อง เนื่องจากชีวิตคนเรามันก็ต้องมีวันที่ดีหรือวันที่แย่บ้างเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งในวันที่เลวร้ายหากคุณปล่อบให้ความคิดแย่ ๆ มามีผลกระทบต่องานมากเกินไป ย่อมทำให้เกิดผลเสียตามมาอย่างแน่นอน ฉะนั้นให้พยายามอดทนอดกลั้น แก้ไขปัญหาด้วยสติ และปรับวิธีการมองโลกให้ดีขึ้น เพียงเท่านี้ปัญหาทุกอย่างก็จะหมดไป

5. รู้จักวิธีการนำเสนอตัวเอง

ในทีนี้เราไม่ได้หมายถึง การโออ้วดความสามารถของตัวเองให้ใครต่อใครเห็น แต่หมายถึงการดูแลภาพลักษณ์ให้ดูมีความเป็นมืออาชีพ เช่น การพูดถึงมุมมองความคิดของตัวเอง รวมทั้งเสื้อผ้าเครื่องประดับที่สวมใส่ เพราะถ้าคุณรู้สึกมั่นใจในลุคของตัวเองแล้ว สิ่งที่ตามมาคือ มีความมั่นใจมากขึ้น

6. จัดวางระเบียบแผนงานอย่างมีระบบ

การรู้จักจัดสรรเวลาและวางระบบการทำงานอย่างมีแบบแผน ย่อมทำให้คุณรู้จักเรียงลำดับความสำคัญของงานแต่ละชิ้นได้ดี งานไหนควรทำให้เสร็จก่อน งานไหนรอได้ เพื่อให้งานเป็นไปอย่างไหลลื่นและมีระเบียบ

ครูเอกชนได้เฮ รับข่าวดีปีใหม่ 2560

กองทุนสงเคราะห์ฯใจป้ำเพิ่มค่ารักษา 3 โรคร้าย ช่วยผู้ป่วยเดือดร้อน 3 โรค คือ โรคหัวใจ โรคไตและโรคมะเร็ง



ดร.บัณฑิตย์ ศรีพุทธางกูร ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ ศธ. ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบกับการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการสงเคราะห์การรักษาพยาบาลที่เกินวงเงินที่กำหนด

ทั้งนี้จากเดิมประกาศกองทุนสงเคราะห์ เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการสงเคราะห์ เกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของผู้อำนวยการ ครู และบุคลากรทางการศึกษาโรงเรียนเอกชนในระบบ ฉบับลงวันที่ 24 ธ.ค.2551 กำหนดให้ผู้อำนวยการ ครู และบุคลากรทางการศึกษาโรงเรียนเอกชนซึ่งส่งเงินสะสมติดต่อกันมาแล้วครบ 2 เดือน มีสิทธิได้รับเงินสวัสดิการสงเคราะห์ เป็นค่ารักษาพยาบาลตนเอง หรือเมื่อเข้ารับการรักษาพยาบาลเป็นคนไข้สถานพยาบาลของราชการและเอกชน เบิกค่ารักษาพยาบาลรวมกันแล้วไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี ตั้งแต่เดือน ม.ค.ถึงเดือน ธ.ค.ของทุกปี แต่ในทางปฏิบัติแต่ละปีจะมีผู้เจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรงที่มีค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลค่อนข้างสูง คณะกรรมการกองทุนฯได้พิจารณาแล้วมีมติให้ผู้อำนวยการ ครู และบุคลากรที่เจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรง 3 โรค คือ โรคหัวใจ โรคไตและโรคมะเร็ง เบิกจ่ายเพิ่มได้รายละไม่เกิน 12,500 บาทต่อปีปฏิทิน

ดร.บัณฑิตย์กล่าวด้วยว่า นอกจากคณะกรรมการกองทุนฯ จะให้ผู้อำนวยการ ครู และบุคลากรที่เจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรง 3 โรคดังกล่าวสามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ครบวงเงินที่กำหนดแล้ว ยังให้เบิกค่ารักษาพยาบาลเพิ่มเติมได้อีกบางส่วน รายละไม่เกิน 12,500 บาท จำนวน 600 ราย ทั้งนี้เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้ที่เจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรง ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2560 ถึง 31 ธ.ค.2560 โดยผู้มีสิทธิใช้สวัสดิการเพิ่มในส่วนนี้ต้องเป็นผู้เจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรง 3 โรคดังกล่าว โดยต้องเป็นผู้มีอายุงาน 10 ปีขึ้นไป และนำเงินสะสมเข้ากองทุนฯครบถ้วน ไม่เคยได้รับเงินค่ารักษาพยาบาลจากหน่วยงานอื่น และมีใบรับรองแพทย์ด้วย

ขอขอบคุณ ไทยรัฐ 5 มกราคม 59 

ทํางานผ่านเน็ตในพิษณุโลก หลอกลวงจริงหรือ ?

ช่วงนีเรามักเห็นกระแส สมัครงานผ่านเน็ต อยู่ตามกลุ่มต่างๆ บ่อยๆ คอนเซปของงานพวกนี้ส่วนมากจะเป็นแบบรับเงินสัปดาห์ล่ะ 4000 - 5000 หรือเดือนล่ะ 15000 ไม่ใช่งานขาย ไม่ต้องประชุม ไม่ต้องอบรม นั่งเล่นผ่านหน้าคอมอย่างเดียว (งานมันสบายขนาดนั้นเลยหรือ) นำรูปเงินมาวางให้ดู ถ่ายรูปตัวเองถ่ายคู่รถหรู เพื่อเป็นแรงจูงใจ โดยรูปรับสมัครงานผ่านเน็ตจะเป็นแนวนี้เป็นส่วนมาก หรืออาจจะมีมากกว่านั้น




หรือ


หรือ





และอื่นๆอีกมากที่เราจะได้เจอ และแต่ละทีจะมีให้เรากรอกรายละเอียดผ่าน Google Doc :ซึ่งเมื่อเรากรอกรายละเอียดไปแล้วจะมีเจ้าหน้าที่โทรมา นัดเราให้ไปอบรมที่โรงแรม หรือที่ไหนสักแห่ง อาจเป็นร้่านกาแฟ ร้านต่างๆ ที่แอดมินเคยเจอ จะนัดไปที่โรงแรมเพื่อลงทะเบียนหน้าห้อง โดยเก็บค่าเข้า 200 แต่แอดไม่ได้เข้าไปนะครับ แอดแค่บอกว่าไม่มีเงินเท่านั้น 555 และรีบออกมา

ส่วนถ้าใครเคยเข้าไปแล้วจะเจอแบบนี้ครับ


คนที่เข้าไปจะเจอแบบคนนี้


รูปแบบการทำเงินของพวกงานออนไลน์ คอนเฟริมออเดอร์ 



อีกมากมายให้เราได้ค้นหา ข้อมูล และข้อมูลเหล่า จะช่วยให้เพื่อนๆได้อย่างมากแน่นอน 




งานผ่านเน็ต งานคอนเฟริมออเดอร์ ล้วนแล้วแต่เป็นงานชวนคนบางทีรายได้มาจากการขายของให้บริษัท หรือกินหัวคิวคนสมัคร หรือกินค่าแนะนำสมาชิกอีกทีนึง  คนที่โดนชวนให้ไปทำ ถ้าชอบงานขายตรง จะดีครับ ส่วนใครไม่ชอบงานขายแนะนำว่าอย่าไปเลยครับ เดียวไปโดน Motivate ให้ฮึกเฮิมแล้วเราทำไม่ได้จะเสียดายเงินครับผมเพราะเราต้องซื้อสินค้าเอง ส่วนคนที่โชว์เงินก็เอาเงินจากที่ชวนกันนั้นล่ะ มาโชว์อีกทีนึง เพราะคนเราเมื่อเห็นเงินเยอะๆจะโลภขึ้นมาและขาดการพิจารณาไตร่ตรองพอสมควร 

ทั้งนี้แล้วอยู่ที่การพิจารณาของเพื่อนๆแล้วล่ะครับ แต่แอดบอกก่อนเลยว่าไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ เพียงแค่นั่งดูคอมไปวันๆแน่ๆครับผม

แล้วงานผ่านเน็ตที่ทำได้จริงๆแล้วได้ตังค์ ชัวร์ ล่ะ ?
แอดต้องบอกก่อนเลยว่า มีแน่นอนครับผม แต่คงต้องไปกระทู้หน้านะครับ เดียวจะมาแนะนำงานผ่านเน็ตแล้วได้เงินแบบจริงจัง เป้นกอบเป็นกำเลยล่ะครับผม


กรมการจัดหางาน ปล่อยกู้เงินกองทุน เพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน

กรมการจัดหางาน ปล่อยกู้เงินกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้านแล้วกว่า 25 ล้านบาท ช่วยสร้างรายได้แก่ผู้รับงานไปทำที่บ้านมากกว่าปีละ 87 ล้านบาท ซึ่งในปี 2560 ตั้งเป้าปล่อยกู้ จำนวน 50 กลุ่ม
กระทรวงแรงงาน โดย นายวิวัฒน์ จิระพันธุ์วานิช รองอธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า กรมการจัดหางานได้รับงบประมาณเงินกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน ในลักษณะทุนหมุนเวียน เพื่อให้กลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้านกู้ยืมไปซื้อวัตถุดิบ อุปกรณ์การผลิตหรือขยายการผลิต เพื่อสร้างอาชีพ สร้างรายได้และโอกาสมีงานทำแก่ผู้รับงานไปทำที่บ้านได้มีรายได้เลี้ยงดูครอบครัวอย่างยั่งยืน ซึ่งตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปัจจุบัน มีการปล่อยกู้แล้ว จำนวน 291 กลุ่ม เป็นเงิน 25,881,000 บาท ก่อให้เกิดรายได้แก่ผู้รับงานไปทำที่บ้านไม่ต่ำกว่าปีละ 87,300,000 บาท สำหรับในปีงบประมาณ 2560 มีแผนการปล่อยกู้เงินกองทุนฯ จำนวน 5 ล้านบาท ให้แก่กลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้าน 50 กลุ่ม ซึ่งคาดว่าจะก่อให้เกิดรายได้แก่ผู้รับงานไปทำที่บ้านเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 15 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของกระทรวงแรงงานและรัฐบาลในการสนับสนุนการสร้างงาน สร้างรายได้ให้แก่ประชาชน
คุณสมบัติของผู้กู้ 

1. เป็นกลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้านที่จดทะเบียนไว้กับกรมการจัดหางาน 
2. มีสมาชิกไม่ต่ำกว่า 5 คน มีการบริหารจัดการที่ชัดเจน ทำงานร่วมกันมาแล้วไม่น้อยว่า 3 เดือน 
3.มีทรัพย์สินหรือทุนรวมกันไม่น้อยกว่า 10,000 บาท และมีสถานประกอบการที่ชัดเจน สามารถติดต่อได้ 

ซึ่งจะให้กู้สูงสุดรายละไม่เกิน 200,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี ปลอดเงินต้น 4 เดือน ชำระคืนภายใน 5 ปี  
สามารถยื่นคำขอกู้ได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ ในท้องที่ที่กลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้านได้จดทะเบียนจัดตั้งกลุ่ม  
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองส่งเสริมการมีงานทำ กรมการจัดหางาน โทร. 02 2451317 หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน 1694 สำหรับผู้รับงานไปทำที่บ้านที่ประสบปัญหาเกี่ยวกับการรับส่งงานหรือไม่ได้รับค่าจ้างตามที่ตกลงขอรับคำปรึกษาหรือร้องทุกข์ได้ที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานในท้องที่ หรือสายด่วน 1546