แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ บทความข่าว แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ บทความข่าว แสดงบทความทั้งหมด

เตือนภัย! คนหางานระวังถูกหลอกทางเฟซบุ๊กไปทำงาน “บรรจุ-ตักอาหาร” ที่เนเธอร์แลนด์

เตือนภัย! คนหางานระวังถูกหลอกทางเฟซบุ๊กไปทำงาน “บรรจุ-ตักอาหาร” ที่เนเธอร์แลนด์

กรมการจัดหางานย้ำคนหางานระวังถูกหลอกทางสื่อสังคมออนไลน์ให้ไปทำงานบรรจุอาหาร ตักอาหารใส่ภาชนะในโรงอาหารที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยใช้วีซ่าท่องเที่ยว (Shengen Vesa) ขณะที่บริษัทจัดหางานฯ โฆษณาการจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ



นายอนุรักษ์ ทศรัตน์ อธิบดีกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ขณะนี้มีบริษัทจัดหางานประกาศโฆษณาทางเฟสบุ๊ครับสมัครคนหางานเพื่อไปทำงานที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ ตำแหน่งคนงานทั่วไป (บรรจุอาหาร /ตักอาหารใส่ภาชนะในโรงอาหาร) ค่าจ้าง 1,200 ยูโรต่อเดือน สัญญาจ้าง 2 ปี โดยใช้ Shengen Vesa ไปทำงาน ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ขอแจ้งให้ทราบว่า ประเทศเนเธอร์แลนด์ไม่อนุญาตให้ผู้ที่ถือวีซ่าท่องเที่ยว (Shengen Vesa) ทำงานแต่อย่างใด



และจากการตรวจสอบบริษัทจัดหางานที่ประกาศรับสมัครดังกล่าวปรากฎว่าบริษัทฯไม่ได้รับอนุญาตหรือขออนุญาตรับสมัครหรือประกาศรับสมัครคนหางานเป็นการล่วงหน้า และไม่ได้ยื่นขออนุญาตการโฆษณาการจัดหางานแต่อย่างใด ซึ่งการกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 มาตรา 35 ข้อหา “รับสมัครหรือประกาศรับสมัครคนหางานเป็นการล่วงหน้าโดยไม่ได้รับอนุญาต” ต้องรับโทษตามมาตรา 74 ปรับไม่เกิน 20,000 บาท และมีความผิดตามมาตรา 66 ข้อหา “โฆษณาการจัดหางานไม่เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนด” ต้องรับโทษตามมาตรา 88 จำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นอกจากนี้ กรมการจัดหางานจะได้พิจารณาลงโทษทางทะเบียน โดยพักใช้ใบอนุญาตจัดหางานของบริษัทฯและดำเนินคดีอาญาตามความผิดต่อไป ดังนั้นจึงขอเตือนคนหางานอย่าหลงเชื่อการโฆษณารับสมัครงานไปทำงานเนเธอร์แลนด์ดังกล่าวข้างต้น และขอย้ำว่า หากประสงค์จะทำงานจะต้องมีใบอนุญาตทำงานและใช้วีซ่าท่องเที่ยวไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องระวังการชักชวนผ่านทางสื่อออนไลน์ นายอนุรักษ์ฯ กล่าว

ที่มา ประชาชาติ

เปิดโผอาชีพในฝันเด็กอยากเป็นครู และอยากมีเงินเดือนสูงสุดร้อยล้าน

วันเด็กแห่งชาติ วันที่ผู้ใหญ่จัดให้เด็กๆ ได้มีพื้นที่แห่งความสุขและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ด้วยจินตนาการของตัวเอง เพราะเด็กคือผู้ใหญ่ในวันหน้า ฉะนั้นความคิดของเด็กย่อมสะท้อนถึงภาพสังคมในอนาคต ด้วยโลกที่เปลี่ยนไปเข้าสู่ยุคดิจิตอล เด็กเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้รวดเร็ว



วันนี้เสียงเล็กๆ ของพวกเขา ไม่อาจถูกมองข้ามได้เลย ล่าสุด กับผลสำรวจอาชีพในฝันของเด็กไทย ในปี 2561 พบว่า 

อาชีพครู ยังเป็นอาชีพในฝันของเด็กๆ  

เพราะอยากถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้อื่น ปลูกฝังให้เด็กไทยเป็นคนเก่งและคนดีและเป็นอาชีพที่สุจริตและมั่นคง

ส่วนอาชีพที่มีคะแนนตามติดมาเป็นอันดับสอง คือ แพทย์ 

ซึ่งในปีนี้น้องๆ อยากเป็นแพทย์เฉพาะทางมากขึ้น เช่น แพทย์ทางด้านสมอง แพทย์ทหาร และแพทย์ผิวหนัง

ในปีนี้ อาชีพนักกีฬา เป็นอาชีพที่มาแรงโดยขึ้นมาอยู่ในอันดับสาม โดยส่วนใหญ่อยากเป็น “นักฟุตบอล” เพราะเป็นกีฬาที่น้องๆ ชื่นชอบ ช่วยให้สุขภาพแข็งแรง มีค่าตอบแทนที่ดี และสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติได้

เกมเมอร์/นักแคสเกม เชฟ ผู้ประกอบการ ติดเทรนด์อาชีพใหม่มาแรงที่เด็กไทยสนใจ


สำหรับอาชีพใหม่ ๆ ที่เด็กไทยให้ความสนใจในปีนี้มีหลากหลายอาชีพ อาทิ เกมเมอร์/นักแคสเกม เพราะอยากใช้ความชอบในการเล่นเกมมาประกอบอาชีพ สร้างรายได้และสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ ขณะเดียวกันก็มีเด็กไทยจำนวนไม่น้อยที่สนใจอยากเป็นนักธุรกิจและผู้ประกอบการเพราะต้องการอิสระในการทำงาน บางส่วนต้องการสืบทอดกิจการของครอบครัว ด้าน “เชฟ” เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่มาแรงในปีนี้ โดยน้อง ๆ ให้เหตุผลว่าอยากเป็นเชฟเพราะอยากทำอาหารอร่อย ๆ ให้คนที่ทานมีความสุข

ทหาร ตำรวจ นักกีฬา ดารา แพทย์ ครองแชมป์อาชีพสุดเท่ในสายตาเด็กไทย


ส่วนอาชีพที่เท่ที่สุดในสายตาเด็กไทย อันดับหนึ่งคือ “ทหาร” รองลงมาคือ “ตำรวจ” “นักกีฬา” “ศิลปิน/ดารา” และ “แพทย์” ตามลำดับ สำหรับเหตุผลที่เด็กๆ คิดว่าทหารและตำรวจเป็นอาชีพที่เท่นั้นเพราะเป็นอาชีพที่ได้ปกป้องคุ้มครองประเทศ ได้รับใช้ประชาชนและประเทศชาติ เช่นเดียวกับอาชีพนักกีฬาที่เปิดโอกาสให้รับใช้ทีมชาติและสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศจึงถูกมองว่าเป็นอาชีพที่เท่ในความคิดของเด็กไทย อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสังเกตว่าถึงแม้ว่าครูจะเป็นอาชีพในฝันของเด็กอันดับต้นๆ แต่กลับไม่ใช่อาชีพที่เท่สำหรับเด็กไทย

เมื่อถามถึงเงินเดือนที่เด็กๆ ต้องการ ส่วนใหญ่อยู่ที่ 15,000-30,000 บาท โดยเงินเดือนสูงสุดที่เด็กไทยอยากได้ คือ มากกว่า 100,000,000 บาท ซึ่งจากการวิเคราะห์พบว่าอาชีพในฝันที่เด็ก ๆ คิดว่าจะได้เงินเดือนสูงคือ อาชีพนักกีฬา เพราะหากเป็นนักกีฬาที่มีชื่อเสียงก็จะได้รับค่าตอบแทนที่สูงตามมาด้วย โดยส่วนใหญ่จะนำเงินเดือนที่ได้ไปเลี้ยงดูครอบครัวและตนเอง ในขณะที่เด็กๆ บางกลุ่มกลับคิดว่าหากได้ทำอาชีพที่ชอบแล้วจะได้รับเงินเดือนเท่าไรก็ได้ ขอแค่เพียงพอกับการดำรงชีวิตและเลี้ยงดูครอบครัว เพราะการได้ทำสิ่งที่ชอบนั้นเป็นสิ่งที่มีคุณค่าทางใจที่สุดแล้ว

สำหรับคำถามเกี่ยวกับสิ่งที่เด็ก ๆ อยากทำหากได้เป็นนายกรัฐมนตรีนั้นมีคำตอบที่หลากหลายมาก แต่สิ่งที่เด็ก ๆ ให้ความสำคัญมากที่สุดคือ การพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้า รองลงมาคือการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ขาดโอกาสในกลุ่มต่างๆ เช่น คนยากจน คนพิการ คนที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร และ ผู้ประสบภัยต่าง ๆ ในขณะที่ประเด็นเรื่องการแก้ปัญหายาเสพติดและการทุจริต คอรัปชัน ก็เป็นประเด็นที่เด็กๆ ให้ความสำคัญไม่แพ้กัน

เด็กไทยหวังโรงเรียน ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลาเล่น เสริมวิชาว่ายน้ำ-ภาษาจีน

สำหรับวิชาเรียนที่เด็กๆ ชื่นชอบมากที่สุดยังคงเป็น “วิชาคณิตศาสตร์” ได้คะแนนสูงสุดเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือวิชา “พลศึกษา” “ภาษาไทย” “ภาษาอังกฤษ” และ “วิทยาศาสตร์” ตามลำดับ ส่วนวิชาที่น้อง ๆ อยากให้โรงเรียนสอนเพิ่มมากที่สุดคือ “ว่ายน้ำ” รองลงมาคือ “ภาษาจีน” “พลศึกษา” ที่เน้นกีฬาเฉพาะด้านมากขึ้น เช่น ฟุตบอล เทควันโด วอลเล่ย์บอล วิชาภาษาอังกฤษ และ วิชาอิสระที่ให้เด็กๆ ได้ทำกิจกรรมที่สนใจ เพราะเห็นว่าควรลดเวลาเรียนและเพิ่มเวลาเรียนรู้ในเรื่องอื่นๆ เพิ่มมากขึ้น

สิ่งที่สนุกที่สุดในวันหยุดของเด็กๆ คือ “การเล่น” โดยคะแนนเฉลี่ยของการเล่นเกมนั้นมีคะแนนที่สูงมากถึง 19.71% เมื่อเปรียบเทียบกับการเล่นอื่นๆ รวมกันคือ เล่นโทรศัพท์ เล่นกับเพื่อน และเล่นฟุตบอล ที่มีคะแนนรวมกันไม่ถึง 10% ส่วนกิจกรรมที่ชอบทำรองลงมาคือ การไปเที่ยว ดูทีวี ฟังเพลง และ อ่านหนังสือตามลำดับ

ในปีนี้ได้มีคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดูวีดีโอใน YouTube ของเด็กไทย พบว่าเด็ก ๆ มากกว่า 94% ดู YouTube โดยรายการที่ได้รับความนิยมมาเป็นอันดับแรก คือ รายการเพลง ทั้งเพลงไทยและเพลง K-pop รองลงมาคือ เกม การ์ตูน รายการบันเทิง และ รายการทำอาหาร นอกจากนั้นยังมีน้องๆ บางกลุ่มใช้เวลาในการดู YouTube เพื่อเป็นแหล่งในการหาความรู้ที่สนใจ เช่น น้องที่อยากเป็นเชฟจะสนใจดูรายการสอนทำอาหาร หรือ น้องที่อยากเป็นพยาบาลก็จะเลือกดูคลิปเกี่ยวกับการสอนการปฐมพยาบาล เป็นต้น

สำหรับประเทศที่น้องๆ อยากอยู่มากที่สุดในโลกรองจากประเทศไทย คือ ประเทศญี่ปุ่น ตามมาด้วยประเทศเกาหลีใต้ อังกฤษ สหรัฐอเมริกา และ จีน

ข้อมูลทั้งหมดสำรวจโดยกลุ่มบริษัทอเด็คโก้ประเทศไทย

ขอขอบคุณ
ข้อมูล : กลุ่มบริษัทอเด็คโก้ประเทศไทย
ข่าว sanook.com

อย่าทิ้งเงินก้อนโตให้เสียเปล่า! เงินประกันสังคมรับคืนได้ แค่ทำตามเงื่อนไขนี้ ใครจ่ายไว้ก็ไปรับซะ บางคนได้เกือบแสนแต่ไม่รู้!



วันนี้ทีมงานสยามนิวส์ มีสิ่งดีๆมาฝากท่านมนุษย์เงินเดือนกันจ้า (ถ้าใครทราบแล้วก็อ่านซ้ำได้นะคะ)

สำหรับมนุษย์เงินเดือนทุกคนที่ต้องจ่ายเงินสมทบประกันสังคมทุก ๆ เดือน แต่เราเคยสงสัยกันไหมว่า สำนักงานประกันสังคมเขาเอาเงินที่เราจ่ายทุกๆเดือนไปทำอะไร

หลายๆคนมักบ่นว่า จะส่งไปทำไม ประกันสังคมเนี่ย ส่งไปก็ไม่ได้ใช้.. ได้ใช้แน่นอนค่ะ เงินที่เราส่งไป ไม่ใช่ส่งทิ้งไปเปล่าๆ เค้าจะคืนให้เรา เมื่อถึงเวลา และแถมดอกเบี้ยให้อีกตะหาก แล้วจะได้คืนเมื่อไรล่ะ? ไปดูกันเลยค่ะ

ระบบประกันสังคม เป็นสิ่งที่ต่างประเทศมีมานานแล้วแต่เมืองไทยเพิ่งเริ่มจะมี โดยประกันสังคมเป็นระบบที่บังคับให้ทุกคนออมเงินส่วนหนึ่ง (5% ของเงินเดือน)
ข้อดีของประกันสังคม คือลูกจ้างอย่างเรา จะจ่ายเงินประกันนี้ (เรียกว่าเงินสมทบ) เพียง 1 ใน 3 ส่วนเท่านั้น เพราะผู้ที่มีหน้าที่ต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม ประกอบด้วย 3 ฝ่าย คือ
  1. รัฐบาล
  2. นายจ้าง
  3. ลูกจ้าง
ดังนั้นลูกจ้างจึง จ่ายเงินเข้ากองทุนเพียง 5% ของค่าจ้าง และรัฐบาลสมทบอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งทำให้เราได้รับผลประโยชน์มากขึ้น คุ้มค่าเกินกว่ามูลค่าเงินที่เราลงไป
ในแต่ละเดือนของประกันสังคม แบ่งเงิน ไปทำอะไร อย่างไหนบ้าง !? สำหรับเงิน 750 บาท ในแต่ละเดือนของประกันสังคม จะถูกแบ่งเป็น

  1. 225 บาท สำหรับดูแลเรื่องเจ็บป่วย ทุพพลภาพ คลอดบุตร และเสียชีวิต ถ้าไม่ใช้สิทธิ เงินส่วนนี้ก็จะหายไป ไม่ได้รับคืน
  2. 75 บาท สำหรับใช้ประกันการว่างงาน ถ้าว่างงานเมื่อไหร่ สามารถเอาเงินส่วนนี้มาใช้ในระหว่างตกงานหรือรอหางานใหม่ แต่ถ้าไม่ว่างงานเลย เงินส่วนนี้ก็จะหายไป ไม่ได้รับคืน
  3. 450 บาท สำหรับเก็บเป็นเงินออม จะได้รับคืนเมื่ออายุครบ 55 ปี
โดยเงื่อนไข การได้เงินก้อนสุดท้าย (เงินออม เมื่อครบ 55 ปี คืน) คือ
  1. จ่ายประกันสังคมไม่ครบ 1 ปี ได้คืนส่วนที่จ่ายเป็นเงินก้อน เรียกว่าบำเหน็จชราภาพ เช่น จ่ายเดือนละ 750 บาทมาโดยตลอด 10 เดือน (750 บาท จะถูกหักเป็นเงินออม 450 บาท) เมื่ออายุครบ 55 ปี จะได้คืน 450 บาท x 10 เดือน = 4,500 บาท
  2. จ่ายครบ 1 ปี แต่ ไม่ถึง 15ปี จะได้เป็นเงินก้อนเรียกว่าบำเหน็จเช่นกัน แต่จะมากกว่า ข้อ 3.1 คือ ได้ส่วนที่นายจ้างสมทบไว้ด้วย เช่น จ่าย 750 บาท ตลอด 7 ปี (84 เดือน) ที่จะได้รับคืนเมื่ออายุครบ 55 ปี คือ 450 บาท (ส่วนที่ตนเองจ่าย) + 450 บาท (ส่วนที่นายจ้างจ่าย) x 84 เดือน = 75,600 บาท
  3. จ่ายตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป จะได้รับเป็นเงินรายเดือน เรียกว่า บำนาญ-ชราภาพ โดยคำนวณ 2 กรณี คือ
กรณีจ่ายครบ 15 ปีพอดี จะได้รับรายเดือน คือ 20% ของเฉลี่ยเงินเดือน 60 เดือนสุดท้าย เช่น 60 เดือนสุดท้าย เฉลี่ยแล้วเท่ากับ 15,000 บาท จะได้รับ 20% คือ เดือนละ 3,000 บาท ไปจนเสียชีวิต

กรณีสมทบมากกว่า 15 ปี จะได้รับโบนัสเพิ่ม 1.5% ของเงินเดือน 60 เดือนสุดท้าย หากครบปี เช่น จ่ายครบ 20 ปี รายเดือนที่จะได้รับ คือ 20%ของเงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือน + 1.5% ของเงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือน x 5 ปี (จ่าย 20 ปี เกินจากที่กำหนดขั้นต่ำมา 5 ปี) เช่น เฉลี่ยเงินเดือน 60 เดือนสุดท้าย เท่ากับ 15,000 บาท จะได้รายเดือน คือ (20% x 15,000 บาท) = 3,000 บาท + (1.5% x 15,000 บาท x 5 ปี) = 3,375 บาท รวมเป็น 6,375 บาท ต่อเดือนไปจนเสียชีวิต

กรณีที่ได้รับเงินบำนาญชราภาพแล้ว แต่ยังไม่ครบ 5 ปีเลย แล้วเสียชีวิตไปก่อน ล่ะ กรณีเช่นนี้ จะได้รับบำเหน็จ 10 เท่า ของเดือนสุดท้าย ของ เงินบำนาญ ที่ได้รับเช่น รับเงินรายเดือน เดือนล่าสุด 6,375 บาท ตายปุ๊บ รับ 63,750 บาท

เป็นยังไงกันบ้างละค่ะสำหรับข้อมูลดีๆ ที่ทางทีมงานสยามนิวส์ได้จัดหามาให้ได้ดูกันจ่ายไปเถอะค่ะ ยังไงก็ได้คืน คุ้มด้วย อิอิ

ที่มา : สำนักงานประกันสังคม
cr: siamnews.com

หายสงสัยแน่นอน เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ได้ตอนไหน ยังไงแล้วได้เท่าไหร่ ไปดูกัน

เบี้ยยังชีพคนชรา สวัสดิการที่รัฐมีไว้เพื่อช่วยเหลือผู้สูงอายุ มาตรวจสอบกันว่า การลงทะเบียนรับเบี้ยยังชีพคนชรา 2560 ใครมีสิทธิบ้าง แล้วจะไปลงทะเบียนได้ที่ไหน 


เบี้ยยังชีพคนชรา หรือเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ นับว่าเป็นอีกสวัสดิการขั้นพื้นฐานที่ภาครัฐจัดสรรไว้ให้กับผู้สูงอายุ คือ บุคคลที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป เพื่อเป็นเงินช่วยเหลือ และแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายการดำรงชีวิตในแต่ละเดือน โดยในแต่ละปีก็จะมีการเปิดให้ผู้ที่มีคุณสมบัติรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุรายใหม่ ๆ มาลงทะเบียน และในปีนี้ก็เช่นกัน เพราะฉะนั้นเรามาดูกันดีกว่าว่า การลงทะเบียนเพื่อรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ปี 2560 มีรายละเอียดอะไรบ้าง แล้วสามารถไปลงทะเบียนได้เมื่อไหร่ เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสที่ควรจะได้รับเงินช่วยเหลือในส่วนนี้ไป


ใครบ้างมีสิทธิได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ
ก่อนอื่นเรามาดูกันก่อนว่า ใครบ้างที่จะมีสิทธิได้รับเบี้ยผู้สูงอายุ สำหรับคุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับเงินช่วยเหลือ ต้องมีเกณฑ์ ดังต่อไปนี้
  • มีสัญชาติไทย
  • มีอายุ 59 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป โดยการลงทะเบียนของปี 2560 ต้องเป็นผู้สูงอายุที่เกิดก่อนวันที่ 1 ตุลาคม 2501 ส่วนผู้สูงอายุที่ทะเบียนราษฎรระบุเฉพาะปีเกิด ให้ถือว่าเกิดวันที่ 1 มกราคม ของปีนั้น ๆ
  • ต้องไม่เคยได้รับสิทธิประโยชน์จากหน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ ไม่ว่าจะเป็น เงินบำนาญ เบี้ยหวัด บำนาญพิเศษ รวมถึงเงินอื่น ๆ ในลักษณะเดียวกัน เช่น ผู้สูงอายุที่อยู่ในสถานสงเคราะห์ของรัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ที่ได้รับเงินเดือน ค่าตอบแทน รายได้ประจำ หรือผลประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นที่รัฐจัดให้เป็นประจำ 


ลงทะเบียนรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 2560 ได้ที่ไหน อย่างไร ?
สำหรับผู้สูงอายุที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด สามารถไปลงทะเบียนรับเบี้ยยังชีพด้วยตัวเอง ได้ตั้งแต่วันที่ 1-30 พฤศจิกายน 2560 โดยผู้สูงอายุในกรุงเทพฯ ลงทะเบียน ณ สำนักงานเขตที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ส่วนต่างจังหวัดยื่นได้ที่สำนักงานเทศบาล หรือองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ที่ผู้สูงอายุมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน

โดยผู้สูงอายุสามารถเลือกได้ว่าจะรับเงินเบี้ยยังชีพผ่านทางช่องทางไหนได้ตามนี้
  • รับเป็นเงินสดด้วยตนเอง 
  • ให้ผู้แทนที่ได้รับมอบอำนาจรับแทน 
  • โอนเข้าบัญชีธนาคารในนามของผู้สูงอายุ 
  • โอนเข้าบัญชีธนาคารในนามของผู้แทนที่ได้รับมอบอำนาจจากผู้สูงอายุ
หลักฐานในการลงทะเบียนรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ
  1. บัตรประจำตัวประชาชนตัวจริงพร้อมสำเนา หรือบัตรอื่นที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐที่มีรูปถ่าย 
  2. ทะเบียนบ้านตัวจริงพร้อมสำเนา 
  3. สมุดบัญชีเงินฝากธนาคารตัวจริงพร้อมสำเนา สำหรับผู้ขอรับเงินผ่านธนาคาร
กรณีที่ผู้สูงอายุไม่สามารถมาจดทะเบียนได้ด้วยตนเอง สามารถมอบอำนาจเป็นลายลักษณ์อักษรให้ผู้อื่นเป็นผู้ยื่นคำขอขึ้นทะเบียนรับเงินแทนได้ โดยผู้แทนจะต้องมีหนังสือมอบอำนาจพร้อมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้รับมอบอำนาจมายื่นคำขอขึ้นทะเบียนด้วย



เบี้ยยังชีพที่ผู้สูงอายุจะได้รับ
ปัจจุบันการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ จะเป็นแบบขั้นบันไดตามช่วงอายุ โดยผู้สูงอายุจะได้รับเงินช่วยเหลือเป็นรายเดือนต่อเนื่องไปจนกว่าจะเสียชีวิต ซึ่งแบ่งได้ตามนี้
  • ช่วงอายุ 60 - 69 ปี ได้รับเงิน 600 บาทต่อเดือน
  • ช่วงอายุ 70 - 79 ปี ได้รับเงิน 700 บาทต่อเดือน
  • ช่วงอายุ 80 - 89 ปี ได้รับเงิน 800 บาทต่อเดือน
  • ช่วงอายุ 90 ปีขึ้นไป ได้รับเงิน 1,000 บาทต่อเดือน
ทั้งนี้ ผู้สูงอายุที่ลงทะเบียนในปี 2560 จะเริ่มได้รับเบี้ยยังชีพงวดแรกตั้งแต่เดือนตุลาคม 2561 เป็นต้นไป

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดรัฐบาลมีแนวคิดที่จะปรับขึ้นเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ให้มีความเหมาะสมมากขึ้น เพราะเบี้ยยังชีพที่จ่ายในตอนนี้มีอัตราที่ต่ำเกินไป ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีแนวคิดว่าจะปรับเพิ่มเป็น 1,200 - 1,500 บาทต่อเดือน ซึ่งก็คงต้องลุ้นกันต่อไปว่า สุดท้ายแล้วจะมีการปรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุได้สำเร็จตามที่หวังไว้หรือไม่

สำหรับผู้สูงอายุท่านใดมีคุณสมบัติครบถ้วน และมีความประสงค์จะรับสวัสดิการนี้ ก็อย่าลืมไปขึ้นทะเบียนกัน ย้ำอีกทีว่าการลงทะเบียนในปี 2560 จะเริ่มในวันที่ 1-30 พฤศจิกายน นี้แล้ว ส่วนใครที่ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถสอบถามได้ที่ เว็บไซต์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หรือโทร. 1300

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย
ขอขอบคุณเนื้อหา Kapook.com

30 อาชีพรายได้ดี ที่ใครหลายคนต้องอิจฉา มีลูกมีหลานส่งไปเรียนกันเลย

อาชีพรายได้ดีไม่ต้องนั่งอยู่กับที่ในออฟฟิศก็มีเหมือนกัน งานเหล่านี้ก็เลยคว้าอันดับรายได้เยอะไปครอง อ่านแล้วก็ได้แต่อิจฉาเบา ๆ

สู้อุตส่าห์เรียนมาตั้งหลายปีพอจบออกมาก็คงอยากได้งานดี มีรายได้สูง และหากจะมีออปชั่นเสริมอย่างได้ออกนอกสถานที่ ไม่จำเป็นต้องนั่งประจำอยู่ที่ออฟฟิศด้วยน่าจะเริดมาก ทว่าในความเป็นจริงหลายคนก็ประท้วงเบา ๆ ว่างานแบบนี้หายากเย็นจะตายไป เอ้า ! ไปโดนใครเขาหลอกมากันล่ะ ดูอย่าง 30 งานที่ Business Insider แนะนำมาสิ ทั้งรายได้ดีเว่อร์ ๆ แล้วยังไม่ต้องนั่งจับเจ่าอยู่กับโต๊ะอีกด้วย แต่ช่างน่าเสียดายเพราะบางอาชีพก็ไม่ได้ทำเงินในเมืองไทยสักเท่าไรหรอกนะ

1. งานกายอุปกรณ์ (Orthotists and Prosthetists)

บุคลากรด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู ผู้ทำหน้าที่ออกแบบ วัดขนาด รวมไปถึงทุกขั้นตอนของการผลิต ดัดแปลงและซ่อมแซมอุปกรณ์ที่ใช้กับร่างกายเพื่อช่วยเหลือการเคลื่อนไหว เช่น แขนเทียม ขาเทียม อุปกรณ์ประคองหรือดามหลัง อุปกรณ์ดามมือ และอวัยวะเทียมเกือบทุกชนิด หน้าที่ช่วยเหลือผู้ป่วยแบบนี้แน่นอนว่ารายได้ดีงามทีเดียวเชียวล่ะ โดยค่าจ้างของอาชีพนี้ตกชั่วโมงละ 30.27 ดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทยก็ราว ๆ 980 บาทต่อชั่วโมง กดเครื่องคิดเลขอีกนิดก็จะรู้เลยว่าเป็นอาชีพที่ทำเงินประมาณ​ 235,200 บาทต่อเดือนแน่ะ !


2. ช่างไฟฟ้า

อาชีพนี้ไม่เพียงแต่มีรายได้ดี ทว่าสวัสดิการต่าง ๆ ก็ครบถ้วนอีกต่างหาก ส่วนขอบเขตของงานจะทำทุกอย่างที่เกี่ยวกับไฟฟ้า เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนติดตั้ง บำรุง ซ่อมแซม ดูแลระบบจ่ายไฟ ข้องเกี่ยวกับเคเบิลและระบบไฟหลายชนิด ค่าแรงต่อชั่วโมงอยู่ที่ 30.85 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1,000 บาท) ประเมินแล้วเงินเดือนบวกกับค่าความเสี่ยงก็ 2 แสนกว่าบาทต่อเดือนเหมือนกัน

3. ไคโรแพรกติก (Chiropractic)

อีกหนึ่งอาชีพทางสายการแพทย์ที่จำเป็นต้องมีความรู้ ทักษะ และประสบการณ์พอสมควรสำหรับการจัดกระดูก รวมไปถึงระบบกล้ามเนื้อที่ผิดปกติให้ผู้ป่วยที่มีปัญหาระบบกระดูก กล้ามเนื้อและข้อ อ้อ ! ลืมบอกไปว่าศาสตร์การรักษานี้ไม่จำเป็นต้องใช้ยาหรือการผ่าตัดใด ๆ ทั้งสิ้น งานนี้อาศัยมือของผู้เชี่ยวชาญล้วน ๆ ดังนั้นตัวเลขของเงินเดือนที่ควรได้จึงสูงถึงประมาณ 243,840 บาทต่อเดือน นับเป็นอาชีพที่สร้างรายได้มหาศาลแต่ก็สมน้ำสมเนื้อกับความรู้ความสามารถนะ คะ

4. ผู้ตรวจการขนส่ง

เป็นอีกหนึ่งอาชีพในส่วนงานราชการที่มีหน้าที่ตรวจสอบและควบคุมการขนส่งของผู้ประกอบการส่วนต่าง ๆ ด้วยเหตุผลที่ต้องการป้องกันปัญหาทุจริตคอรัปชั่น อาชีพนี้เลยได้เงินเดือนเหนาะ ๆ อยู่ที่ 246,240 บาทต่อเดือน


5. นักรังสีเทคนิค

กว่าจะเรียนจนจบมาได้คงยากลำบากพอดู นักรังสีเทคนิคเลยสมควรแก่การได้ค่าจ้าง 246,720 บาทต่อเดือน แต่ด้วยความรู้ความสามารถที่ร่ำเรียนมาแล้วต้องยกให้เขาเลยจริง ๆ

6. แพทย์เฉพาะทางรังสี

แพทย์เฉพาะทางผู้มีความรู้ความสามารถทางเทคนิคการแพทย์ รวมไปถึงเครื่องฉายแสงต่าง ๆ สามารถวิเคราะห์และวินิจฉัยโรคด้วยเทคโนโลยีรังสีอย่างนี้ได้อย่างเชี่ยวชาญ ส่วนอัตราเงินเดือนของอาชีพนี้ก็สูงถึง 248,160 บาทต่อเดือน แถมแว่ว ๆ มาว่าไม่จำเป็นต้องสแตนบายด์ที่โรงพยาบาลตลอดเวลาอีกต่างหาก

7. ผู้กำกับและโปรดิวเซอร์

ทั้งโปรดิวเซอร์และผู้กำกับละครทีวี ละครเวที และภาพยนตร์ต่างก็มีรายได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากละครหรือภาพยนตร์มีกระแสตอบรับแรง ๆ คนดูกันทั้งประเทศและดังไกลไปถึงเมืองนอก แบบนี้บอกเลยว่ารายได้ต่อเดือนไม่น่าจะต่ำกว่า 250,000 บาทต่อเดือน แถมยังไม่ต้องตอกบัตรเข้างาน ไม่จำเป็นต้องไปทำงานทุกวัน ทว่าเวลามีงานจริง ๆ ก็หามรุ่งหามค่ำเหมือนกัน

8. วิศวกรรมต่อเรือและเครื่องกลเรือ

ดูแลรับผิดชอบระบบเดินเรือและเครื่องกลเรือทุกชิ้นส่วน จำเป็นต้องพกความรู้ความเรื่องโครงสร้างเรือ ระบบการทำงานของเรือแต่ละประเภท รวมไปถึงระบบสุขาภิบาล ไฟฟ้า และระบบอื่น ๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของการทำงานของเรือด้วย ส่วนอัตราค่าจ้างของอาชีพนี้จะอยู่ที่ประมาณ 260,000 บาทต่อเดือน


9. กัปตันเรือ

อาชีพเกี่ยวกับการเดินเรือนี่เงินเดือนไม่ใช่ย่อย ๆ เลยล่ะ อย่างเหล่ากัปตันและผู้ช่วยกัปตันเรือก็มีรายได้กว่า 1,088 บาทต่อชั่วโมง คิดเป็นเงินเดือนก็ประมาณ 260,000 บาทกว่า ๆ เท่านั้นเอง

10. เกษตรกร

เจ้าของไร่ นา สวน หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวกับเกษตรกรรม ถ้าทำอย่างจริงจังก็รวยใช่เล่นนะ เบาะ ๆ รายได้ต่อเดือนจะอยู่ที่เกือบ 260,000 บาทเลยทีเดียว

11. นักพยาธิวิทยาด้านการพูดและภาษา (Speech-Language Pathologist)

อาจเป็นอาชีพที่ไม่ค่อยคุ้นหูสักเท่าไร แต่บอกไว้เลยว่าการแก้ไขปัญหาให้แก่ผู้ป่วยที่มีความบกพร่องทางการสื่อสาร ทำรายได้ต่อเดือนให้นักพยาธิวิทยาด้านการพูดและภาษากว่า 265,000 บาท

12. นักทันตสุขอนามัย (Dental hygienist)

นักทันตสุขอนามัยจะประจำอยู่ตามสาธารณสุขในแต่ละจังหวัด เชี่ยวชาญด้านสุขอนามัยภายในช่องปาก รวมถึงมีความรู้ในการป้องกันโรคทางช่องปากและรักษาความสะอาดของฟันขั้นพื้นฐานได้ อาชีพนี้ในเมืองนอกสามารถทำเงินได้เกิน 265,000 บาทต่อเดือนเชียวนะ

13. นักโสตสัมผัสวิทยา

ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับอนามัยภายในช่องหูและประสาทการได้ยินของมนุษย์อย่างครอบคลุม ถ้าประกอบอาชีพนี้ในเมืองนอก การันตีรายได้ไม่ต่ำกว่า 267,000 บาทต่อเดือน ถือเป็นอาชีพที่ทำเงินดี๊ดีอีกอาชีพหนึ่งเลย

14. นักอาชีวบำบัด

อาชีพที่คล้าย ๆ นักจิตวิทยาสาขาหนึ่งซึ่งมีหน้าที่บำบัดผู้ป่วยที่มีการพัฒนาค่อนข้างช้า จนเกิดความบกพร่องในการใช้ชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะกิจกรรมพื้นฐานรอบตัว เช่น การทำงานบ้าน การประกอบอาชีพ หรือฟื้นฟูทักษะการใช้ชีวิตประจำวันให้เหมือนคนปกติ ภารกิจใหญ่ยิ่งขนาดนี้ก็เก็บเงินเข้ากระเป๋าไปเลยเหนาะ ๆ เดือนละ 287,000 บาท

15. ช่างติดตั้งและซ่อมบำรุงลิฟต์

รับผิดชอบตั้งแต่การตรวจสอบโครงสร้างลิฟต์ การผลิต ระบบการทำงาน ไปจนถึงการติดตั้งและซ่อมแซมลิฟต์โดยสาร อาชีพนี้สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำมาก ๆ โดยเรตค่าจ้างในต่างประเทศจะสูงถึงชั่วโมงละ 37.81 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ1,224 บาท) คิดเป็นเงินเดือนก็เกือบ 300,000 เลยนะ

16. นักรังสีการแพทย์

ผู้เชี่ยวชาญด้านรังสีรักษาสามารถบรรเทาและรักษาอาการของโรคด้วยการฉายรังสี คนที่จะประกอบอาชีพนี้ได้ต้องเรียนหนักไม่แพ้แพทย์ พ่วงกับความรู้ด้านรังสีวิทยาที่ควรต้องแม่นเป๊ะ สนนรายได้ต่อเดือนจึงทะยานไปไกลถึง 295,000 บาท



17. นักกายภาพบำบัด

ผู้เชี่ยวชาญด้านสรีระมนุษย์ สามารถวิเคราะห์ความผิดปกติและวางแผนการรักษาอาการผิดปกตินั้นโดยใช้ความรู้ พื้นฐานทางกายภาพบำบัด นักกายภาพบำบัดจำเป็นต้องแข็งแรงพอสมควรนะคะ เพราะต้องคอยจัดท่ารวมถึงพยุงคนไข้ในระหว่างการทำกายภาพบำบัด ถือเป็นงานที่หนักไม่น้อยเลยทีเดียว เงินเดือนก็เลยต้องสมน้ำสมเนื้อ โดยนักกายภาพบำบัดต่างประเทศจะได้เรตค่าจ้างชั่วโมงละ 38.96 ดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทยก็ตกชั่วโมงละประมาณ 1,261 บาท เท่ากับว่ากวาดรายได้เข้ากระเป๋าเดือนละ 3 แสนกว่าบาทเลย


18. สัตวแพทย์

ความยากของอาชีพนี้อยู่ที่การวินิจฉัยโรคที่สัตว์เป็น เนื่องจากสัตว์เหล่านี้ไม่สามารถบอกอาการเจ็บป่วยของตัวเองได้เลยแม้แต่คำเดียว อีกทั้งยังต้องเก๋าพอที่จะรักษาสัตว์ได้ทุกชนิดบนโลกใบนี้ เงินเดือนเลยปาเข้าไปกว่า 323,000 บาทต่อเดือน

19. เจ้าหน้าที่ทำคลอดทารก

ใครจะประกอบอาชีพนี้ได้ต้องมีความรู้เรื่องสูติแน่นปึ้ก ต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับขั้นตอนการทำคลอดเด็กทารก เพื่อให้การคลอดเป็นไปอย่างปลอดภัยทั้งแม่และลูก ซึ่งบ้านเราส่วนใหญ่จะอาศัยแพทย์สูติและพยาบาลผู้มีประสบการณ์ในการทำคลอดแทน แหม...น่าเสียดายไม่เบานะคะ เพราะเจ้าหน้าที่ทำคลอดในต่างประเทศเก็บรายได้รายต่อชั่วโมงถึง 44.37 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1,436 บาท) เลยทีเดียว ตกเดือนละเกือบ 350,000 บาท

20. พยาบาลเวชปฏิบัติ

ด้วยหน้าที่รับผิดชอบที่ต้องทำทุกอย่างให้ได้เกือบเทียบเท่าแพทย์ ความรู้ความสามารถจึงต้องอยู่ในระดับดี เงินเดือนเลยค่อนข้างคุ้มค่าในระดับประมาณ 346,000 บาทต่อเดือน

21. ผู้ช่วยทางการแพทย์

อีกหนึ่งอาชีพที่ต้องทำงานร่วมกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรง ลักษณะของงานจะคล้าย ๆ เลขาของแพทย์ ซึ่งต้องจัดเตรียมข้อมูลของคนไข้เพื่อส่งเคสต่อให้แพทย์ได้ และอาจต้องให้คำปรึกษาและคัดกรองคนไข้ก่อนถึงมือหมอ โดยในต่างประเทศตำแหน่งนี้จะค่อนข้างมีตัวตนที่ชัดเจนมากกว่าบ้านเรา แถมเงินเดือนยังดี๊ดีที่ 44.70 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 1,447 บาทต่อชั่วโมง คิดเป็นเงินเดือนแล้วก็ประมาณ 350,000 บาท

22. ผู้เชี่ยวชาญในการวัดสายตาและประกอบแว่น

งานที่เกี่ยวกับสายตาจำถือเป็นอาชีพที่มีความสำคัญและค่อนข้างมีละเอียดอ่อน ซึ่งก็แน่นอนว่าผู้เชี่ยวชาญในการวัดสายตาและประกอบแว่นต้องผ่านการร่ำเรียนที่หนักหนาสาหัสเอาการ ค่าตอบแทนจึงต้องสูงเป็นธรรมดา โดยรายได้เฉลี่ยต่อเดือนจะตกประมาณ 378,480 บาท


23. นักบิน ผู้ช่วยนักบิน พนักงานสายการบิน และวิศวกรการบิน

สายอาชีพที่มีสถานที่ทำงานบนผืนฟ้าเป็นส่วนใหญ่ต้องอาศัยทักษะเฉพาะและความรู้ความสามารถที่คนทั่วไปไม่อาจทำได้ การันตีรายได้แบบไม่ต้องสงสัยตกเดือนละกว่า 430,000 บาท

24. ทันตแพทย์

แค่ถอนฝันไม่กี่ซี่เราก็ต้องควักเงินในกระเป๋าไปหลายร้อย ยังไม่นับรวมทันตกรรมชนิดอื่น ๆ อีก ดังนั้นทันตแพทย์ที่ทำงานทั้งในโรงพยาบาลและเปิดคลีนิกเป็นของตัวเองด้วย มีรายได้ชัวร์ ๆ ไม่ต่ำกว่าหลักแสน อย่างทันตแพทย์ของต่างประเทศจะการันตีรายได้อยู่ที่ 70.36 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 2,278 บาทต่อชั่วโมง กดเครื่องคิดเลขดูตกเดือนละ 546,000 เลยทีเดียว

25. พยาบาลวิสัญญี

พยาบาลวิสัญญีถือเป็นวิชาการพยาบาลขั้นสูง ซึ่งต้องมีความรู้ในเรื่องยาระงับความรู้สึก รวมทั้งต้องประเมินปริมาณการให้ยาสลบกับคนไข้ได้อย่างแม่นยำพอสมควร ไม่อย่างนั้นกะผิดกะถูกไปคนไข้ตื่นขึ้นมาระหว่างการผ่าตัดล่ะวุ่นแน่ ดังนั้นตำแหน่งสำคัญทางการแพทย์อย่างนี้รัฐบาลสหรัฐฯ จึงยอมจ่ายค่าแรงให้ชั่วโมงละ 72.64 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณชั่วโมงละ​ 2,352 บาท ต่อเดือนประมาณ 564,000 บาท

26. จิตแพทย์

ผู้ให้คำปรึกษาปัญหาชีวิตทุกรูปแบบแล้วแต่คนไข้แต่ละเคส และทำการรักษาปัญหาทางจิตและความคิดของคนไข้ภายใต้วิธีการทางจิตวิทยา ถือว่าเป็นงานที่ไม่ต้องลงแรงเท่าไร แต่ในฐานะที่ต้องทนรับฟังแต่ปัญหาของผู้อื่นรายได้จึงงามมาก คิดแล้วตกอยู่ชั่วโมงละ 86.03 ดอลลาร์สหรัฐ ถ้าเป็นเงินไทยก็ราว ๆ 2,786 บาท หรือเดือนละ 668,000 บาท



27. ทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดฟัน

ในวงการทันตแพทย์ศาสตร์ต้องยอมรับว่า ทันตแพทย์สาขาการจัดฟันแอบทำรายได้ดีเป็นอันดับต้น ๆ ยิ่งในช่วงนี้กระแสจัดฟันยังแรงไม่แผ่วสักนิด รายได้ของหมอฟันสาขานี้จึงมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยในอเมริกาเรตรายได้ของทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดฟันจะสูงถึง ชั่วโมงละ 90 ดอลลาร์สหรัฐ ตกเกือบ 3,000 บาทต่อชั่วโมง คิดเป็นเงินก็แค่เดือนละ 720,000 เท่านั้นเอง !!

28. ทันตแพทย์เฉพาะทางด้านโรคข้อต่อขากรรไกร

หน้าที่ของทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคข้อต่อขากรรไกรจะดูแลทุกอย่างที่เกี่ยวกับความผิดปกติของขากรรไกร สามารถวินิจฉัยและผ่าตัดเพื่อแก้ไขความผิดปกติของกระดูกขากรรไกรได้ โดยส่วนมากรายได้จะเทียบเท่ากับทันตแพทย์สาขาจัดฟัน คือ ชั่วโมงละ 90 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3,000 บาทต่อชั่วโมง หรือเดือนละ 720,000 บาท

29. แพทย์ผ่าตัด

การผ่าตัดเพื่อทำการรักษาโรคดูเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากในชีวิตของคนเรา ฉะนั้นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้จำเป็นต้องพกพาความรู้ความสามารถที่เปี่ยมไป ด้วยศักยภาพมาช่วยชีวิตคน รายได้จากอาชีพนี้จึงค่อนข้างสูง โดยเฉลี่ยแล้วอยู่ที่เรต 91.66 ดอลลาร์สหรัฐต่อชั่วโมง อยู่ในไทยก็คงได้ค่าวิชาชีพประมาณ 2,968 บาท ตกเดือนละ 720,000 บาท เช่นกัน

30. วิสัญญีแพทย์

ขนาดพยาบาลวิสัญญียังมีรายได้สูงพอสมควร แล้วนี่เป็นถึงแพทย์วิสัญญีผู้เชี่ยวชาญด้านยาสลบซึ่งต้องจ่ายยาสลบให้แก่คนไข้ทั้งก่อนและหลังการผ่าตัด เทียบกับหน้าที่และความสามารถแล้วก็ต้องยอมให้ค่าวิชาไปเลยที่ 92.41 ดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทยจะประมาณ 2,992 บาทต่อชั่วโมง คำนวนเป็นรายเดือนแล้วบอกเลยว่าอิจฉาตาร้อนมาก ก็เงินเดือนของอาชีพนี้การันตีไม่ต่ำกว่า 7 แสนบาท ! เลยนะเอ้า

ไม่ต้องแปลกใจถ้าบางอาชีพจะมีรายได้สูงมาก แอบกระซิบไว้หน่อยว่านี่เป็นอัตราค่าจ้างฉบับเมืองนอก เห็นแล้วอยากให้ประเทศไทยอัดฉีดค่าแรงแน่น ๆ แบบนี้บ้างจังเลย

เปิดรายละเอียดบัตรคนจน ให้วงเงินเท่าไร ซื้ออะไรได้บ้าง

บัตรคนจน หรือบัตรสวัสดิการผู้มีรายได้น้อย ดีเดย์พร้อมใช้ได้ 1 ตุลาคม 2560 คนที่ลงทะเบียนคนจนไว้จะได้เงินช่วยเหลืออะไรบ้าง มาเช็กรายละเอียดต่าง ๆ กันเลย

ถือเป็นข่าวดีของผู้มีรายได้น้อยกว่า 11.67 ล้านคนที่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติโครงการลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 หรือลงทะเบียนคนจน 2560 เมื่อรัฐบาลเตรียมแจกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “บัตรคนจน” ให้ผู้ที่ลงทะเบียนได้รับสวัสดิการความช่วยเหลือเบื้องต้นเพื่อลดภาระค่าครองชีพและค่าใช้จ่ายในครัวเรือน โดยรัฐบาลพร้อมทุ่มงบเดือนละ 3,495 ล้านบาท หรือปีละ 41,940 ล้านบาท สนับสนุนโครงการดังกล่าว



ถึงตรงนี้ หลายคนอาจมีคำถามว่า บัตรคนจนที่รัฐบาลมอบให้นั้นนำไปใช้ทำอะไรได้บ้าง หรือจะได้รับการช่วยเหลือเรื่องค่าครองชีพอย่างไร กระปุกดอทคอม ได้รวบรวมข้อมูลของโครงการมาแจกแจง ให้ทราบกัน




บัตรคนจนช่วยเหลือเรื่องไหนบ้าง


การช่วยเหลือของโครงการนี้จะแยกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรกจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพ และส่วนที่สองจะช่วยเหลือในเรื่องค่าใช้จ่ายการเดินทาง ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้

1. ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพ
ประกอบด้วย ค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษา และวัตถุดิบเพื่อการเกษตรจากร้านธงฟ้าประชารัฐ และร้านค้าอื่น ๆ ที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด โดยรัฐบาลจะให้เงินในบัตรไปซื้อสินค้า

เงินช่วยเหลือที่ได้รับ :
  • กลุ่มที่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อปี จะได้รับเงินจำนวน 300 บาทต่อเดือน
  • กลุ่มที่มีรายได้ตั้งแต่ 30,000 บาทขึ้นไป แต่ไม่กิน 1 แสนบาท จะได้รับเงินจำนวน 200 บาทต่อเดือน
นอกจากนี้ ทั้ง 2 กลุ่ม ยังได้วงเงินสำหรับเป็นส่วนลดซื้อก๊าซหุงต้มจากร้านค้าที่กระทรวงพลังงานกำหนดอีกคนละ 45 บาทต่อ 3 เดือน

อย่างไรก็ตาม เงินจำนวนดังกล่าวจะไม่สามารถนำไปใช้หนี้ที่ค้างชำระกับร้านค้า หรือนำไปซื้อสุรา บุหรี่ได้ เพราะไม่ใช่สินค้าอุปโภคที่จำเป็น แต่สินค้าที่สามารถซื้อได้ เช่น ข้าวสาร ผงซักฟอก ยาสีฟัน ชุดนักเรียน อุปกรณ์การเรียน และปุ๋ยเคมี







2. ช่วยลดค่าใช้จ่ายการเดินทาง
ประกอบด้วย ค่าโดยสารรถเมล์ รถไฟฟ้า รถโดยสารของ บขส. และรถไฟ

เงินช่วยเหลือที่ได้รับ :
  • ค่าโดยสารรถเมล์ รถไฟฟ้า จำนวน 500 บาทต่อเดือน (ใช้ชำระค่าโดยสารด้วยระบบ e-Ticket)
  • ค่าโดยสารรถ บขส. วงเงินไม่เกิน 500 บาทต่อเดือน
  • ค่าโดยสารรถไฟ วงเงินไม่เกิน 500 บาทต่อเดือน
โดยเงินช่วยเหลือในแต่ละส่วนจะแยกออกจากกันอย่างชัดเจน ไม่นำมารวมกัน

ทั้งนี้ บัตรคนจนที่แจกจะแบ่งออกเป็น 2 แบบ ซึ่งแบบแรกจะเป็นมี 2 ชิปการ์ด ผลิตมาจำนวน 1.3 ล้านใบ เพื่อมอบให้กับประชาชนใน 7 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา สมุทรปราการ สมุทรสาคร และนครปฐม ซึ่งจะสามารถใช้กับระบบตั๋วร่วม เพื่อขึ้นรถเมล์และรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ ได้

ส่วนบัตรสวัสดิการแบบที่ 2 ของคนในจังหวัดอื่น ๆ จะมีชิปการ์ดเดียว จึงไม่สามารถนำมาใช้ขึ้นรถเมล์และรถไฟฟ้าได้ อย่างไรก็ตาม หากมีการเปลี่ยนภูมิลำเนาเข้ามาอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ ก็สามารถมาแจ้งเปลี่ยนเป็นบัตรแบบ 2 ชิปการ์ดได้

ใช้เงินในบัตรไม่หมด เก็บไว้ใช้เดือนหน้าได้ไหม ?

วงเงินในบัตรในแต่เดือน หากใช้ไม่หมดจะถูกตัดยอดทันทีทุกวันที่ 1 ของทุกเดือน และไม่มีการสะสมในเดือนถัดไป โดยหากมีการใช้หมดวงเงินแล้ว แต่อยากใช้เพิ่มก็จะต้องจ่ายเงินเพิ่มเอง ซึ่งผู้มีรายได้น้อยสามารถเติมเงินผ่านธนาคาร เพื่อใช้ได้เหมือนบัตรเดบิต


บัตรคนจนเริ่มใช้ได้เมื่อไหร่ ?

บัตรคนจนจะสามารถเริ่มใช้ได้ในวันที่ 1 ตุลาคม 2560 โดยสามารถเริ่มไปรับบัตรได้ตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน 2560 เป็นต้นไป ณ จุดที่ลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อย คือ ธนาคารออมสิน, ธนาคารกรุงไทย, ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร, สำนักงานคลังจังหวัดทุกจังหวัด และสำนักงานเขตกรุงเทพมหานครทุกเขต




ถ้าทำบัตรคนจนหาย จะทำใหม่ได้ไหม ?

กรณีที่ทำบัตรคนจนสูญหาย สามารถดำเนินการทำบัตรใหม่ได้ แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการทำบัตรใหม่ จำนวน 50 บาท สำหรับบัตรที่มี 1 ชิปการ์ด และมีค่าใช้จ่าย 100 บาท สำหรับบัตรที่มี 2 ชิปการ์ด

บัตรคนจน กับมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมในอนาคต

กระทรวงการคลังยังมีแผนที่จะช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเพิ่มเติมในอนาคต โดยเตรียมจะเสนอ ครม. พิจารณาแนวทางการจ่ายเงินเข้าบัญชีให้กับที่ผู้รายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี ผ่านการโอนเงินภาษีให้ผู้มีรายได้น้อย (Negative Income Tax) โดยมีเงื่อนไขว่าผู้ได้รับความช่วยเหลือต้องเข้ามาพัฒนาความรู้ พัฒนาอาชีพด้านต่าง ๆ

สำหรับใครที่ผ่านคุณสมบัติของโครงการลงทะเบียนคนจนแล้ว ก็เตรียมรับความช่วยเหลือจากรัฐได้เลย แต่ใครที่พลาดการไปลงทะเบียนรับสิทธิประโยชน์นี้ไปก็ไม่ต้องเสียใจ เพราะยังสามารถเข้าไปลงทะเบียนเพื่อรับเงินช่วยเหลือในปีต่อไปได้ โดยสามารถติดตามข้อมูลเกี่ยวกับการลงทะเบียนคนจนได้ที่ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง หรือโทร. 02-273-9020


ขอบคุณภาพและข้อมูล : Kapook