แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อาชีพน่าสนใจ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อาชีพน่าสนใจ แสดงบทความทั้งหมด

"อาชีพดมกลิ่น" ขึ้นทะเบียนรับรอง 167 คนแล้ว ค่าตอบแทนครั้งล่ะ 600 บาท

เพราะปัญหาร้องเรียนมลพิษที่เกิดจากโรงงานเกิดจากความเหม็นอย่างมาก ซึ่งเป็นปัญหาระดับต้นๆของโรงงานทุกที่ ทำให้กรมควบคุมมลพิษไม่นิ่งเฉย จึงได้ "กำหนดมาตรฐานค่าความเข้มกลิ่นของอากาศเสียที่ปล่อยทิ้งจากแหล่งกำเนิดมลพิษ" และวิธีที่ใช้กำหนด คือ การดมกลิ่น นั้นเอง และได้ผลตอบแทนต่อครั้งถึง 600 บาท ซึ่งการจะเป็นผู้ดมกลิ่นนั้นไม่ใช่เรื่อง่ายเลย ต้องผ่านการทดสอบตามมาตรฐานที่คพ.กำหนดเอาไว้ อายุ 18-60 ปี มีอายุการทำงาน 1 ปี แถมต้องมีสุขภาพแข็งแรงด้วยเสียด้วย 




วันที่ 16 มิถุนายน นายจตุพร บุรุษพัฒน์ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) เปิดเผยว่า เนื่องจากปัจจุบันมีปัญหาร้องเรียนเรื่องมลพิษที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรมถึงร้อยละ 60 ของเรื่องร้องเรียนทั้งหมด ซึ่งปัญหากลิ่นเหม็นจัดเป็นปัญหาที่มีการร้องเรียนเป็นลำดับแรกมาตลอดทุกปี ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 40 ของปัญหาที่มีการร้องเรียนทุกด้าน จากปัญหาดังกล่าวจึงเป็นที่มาของประกาศ ทส.เรื่อง “กำหนดมาตรฐานค่าความเข้มกลิ่นของอากาศเสียที่ปล่อยทิ้งจากแหล่งกำเนิดมลพิษ” ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 11 กรกฎาคม 2553 บังคับใช้กับโรงงานอุตสาหกรรม จำนวน 23 ประเภท โดยส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมที่ไม่มีการใช้สารเคมีอันตราย ในการผลิต เนื่องจากวิธีตรวจวัดตามประกาศฯ กำหนดให้ใช้วิธีการดมกลิ่น (Sensory test) จมูกของคนดมเพื่อตรวจวิเคราะห์กลิ่น (Panelist) ซึ่งผู้ที่จะทำหน้าที่ดมกลิ่นจะต้องผ่านการทดสอบและขึ้นทะเบียนผู้ดมกลิ่นจากคพ. หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมโรงงานอุตสาหกรรม ตามประกาศคณะกรรมการควบคุมมลพิษ เรื่อง วิธีตรวจวัดค่าความเข้มกลิ่นโดยการวิเคราะห์กลิ่นด้วยการดม (Sensory test) และการขึ้นบัญชีรายชื่อผู้ทดสอบกลิ่นของกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงวันที่ 11 สิงหาคม 2554
นายจตุพร กล่าวว่า โดยล่าสุด คพ. ได้จัดให้มีการทดสอบเพื่อขึ้นทะเบียนเป็นผู้ดมกลิ่น โดยมีผู้ผ่านและการทดสอบตามประกาศกรมควบคุมมลพิษ เรื่อง บัญชีรายชื่อผู้ทดสอบกลิ่นของคพ.(ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2560) เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2560 จำนวนทั้งสิ้น 167 คน โดยเป็นเจ้าหน้าที่คพ. 100 คน กรมทรัพยากรน้ำ 2 คน สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาค 19 คน กรุงเทพมหานคร 5 คน บริษัทเอกชน 33 คน และสถาบันการศึกษา 8 คน

“โดยผู้ดมกลิ่นเหล่านี้จะทำหน้าที่ในการตรวจวิเคราะห์ค่าความเข้มกลิ่นที่เก็บตัวอย่างมาจากแหล่งกำเนิดมลพิษ ซึ่งจะต้องใช้คนดมครั้งละ 6 คน ซึ่งแต่ละคนจะได้รับค่าตอบแทนในการดมตามที่กรมบัญชีกลางกำหนดคือ 600 บาทต่อตัวอย่าง และในแต่ละครั้งจะดมกลิ่นได้ไม่เกิน 3 ตัวอยาง ซึ่งในปี 2559 มีการทดสอบกลิ่นด้วยการดมจากกรณีปัญหาร้องเรียนรวมมากกว่า 30 เรื่อง ซึ่งวิธีการตรวจวิเคราะห์กลิ่นด้วยการดมมีการใช้กันอย่างแพร่หลายในต่างประเทศ อาทิเช่น สหรัฐอเมริกา เกาหลี ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ออสเตรียและเยอรมันนี เป็นต้น”นายจตุพร กล่าว 
อธิบดีคพ.กล่าวว่า ทั้งนี้ เพื่อให้การติดตามตรวจสอบและวิเคราะห์กลิ่นมีความเป็นมาตรฐาน คพ. ได้จัดการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง การเก็บตัวอย่างกลิ่นและการตรวจวิเคราะห์กลิ่นด้วยการดม ครั้งที่ 1 ประจำปี 2560 สำหรับเจ้าหน้าที่จากสำนักงานสิ่งแวดล้อมภาค และสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเข้าร่วมจำนวน 50 คน โดยการฝึกอบรมครั้งนี้เป็นการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคนิคที่ในการตรวจวัดและตรวจวิเคราะห์กลิ่นให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใน ทส. ให้สามารถตรวจสอบและเฝ้าระวังปัญหากลิ่นรบกวนจากการประกอบกิจการต่างๆ ทั้งโรงงานอุตสาหกรรม สถานประกอบการ ตลอดจนสถานที่ เลี้ยงสัตว์ได้อย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ รวมทั้งสามารถให้คำแนะนำในการควบคุมและลดปัญหากลิ่นที่เกิดจากการประกอบกิจการได้อย่างมีประสิทธิภาพ


นายพันธศักดิ์ ถิรมงคล ผู้อำนวยการส่วนมลพิษทางอากาศจากโรงงานอุตสาหกรรม คพ. กล่าวว่า ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกเพื่อขึ้นทะเบียนเป็นมนุษย์ดมกลิ่นนั้น ผ่านการทดสอบตามมาตรฐานที่คพ.กำหนดเอาไว้ อายุ 18-60 ปี มีอายุการทำงาน 1 ปี ต้องมีสุขภาพแข็งแรง มีค่าตอบแทนการทำงานตามที่กระทรวงการคลังกำหนดไว้คือ ตัวอย่างละ 600 บาท
“การวัดโดยการดมกลิ่นแบบนี้ค่าจะออกมาเป็นตัวเลยเลย โดยมีค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ตามประกาศกรมควบคุมมลพิษ 23 ประเภท เช่น โรงงานบ่มใบยาสูบ โรงงานฆ่าสัตว์ โรงงานผักผลไม้กระป๋อง โรงงานสุรา โรงงานทำอาหารสัตว์ โรงงานน้ำตาล เป็นต้น โดยขั้นตอนการทำงานคือ เมื่อได้รับการร้องเรียน เจ้าหน้าที่จะไปเก็บตัวอย่าง 2 จุด คือ บริเวณริมรั้วของโรงงาน กับที่บริเวณปล่องระบายอากาศ ในพื้นที่ในเขตอุตสาหกรรม กับนอกเขตอุตสาหกรรม โดยเจ้าหน้าที่จะไปดูดอากาศโดยใช้ปั๊มใส่ถุงไว้ประมาณ 10 ลิตร แล้วเอามาตรวจสอบในห้องปฏิบัติการ(ห้องแล็ป) ภายใน 24 ชั่วโมง จากนั้นจึงเรียกมนุษย์ดมกลิ่นที่ขึ้นทะเบียนเอาไว้มาปฏิบัติหน้าที่ 6 คน มนุษย์ดมกลิ่นที่จะไปดมกลิ่นที่ได้มาจากการเก็บตัวอย่าง จะต้องเตรียมตัวเอง หรือเคลียร์จมูกก่อนทำงาน โดยการดมสารเคมี 5 กลิ่นก่อน คือ กลิ่นดอกไม้ กลิ่นเหม็นไหม้ กลิ่นถุงเท้าอับๆ กลิ่นผลไม้ เช่น กลิ่นแตงโมง ลิ้นจี่ และกลิ่นอุจจาระ”นายพันธศักดิ์ กล่าว 
นายพันธศักดิ์ กล่าวว่า ค่าตัวเลขที่ออกมาคืออัตราการเจือจางของอากาศที่ไม่มีกลิ่น กับตัวอย่างของอากาศที่มีกลิ่น ซึ่งคพ.มีมาตรฐานที่กำหนดเอาไว้อยู่แล้ว เช่น บริเวณ ริมรั้วโรงงานอุตสาหกรรมต้องไม่เกิน 15 หน่วย ในโรงงานอุตสาหกรรมไม่เกิน 1,000 หน่วยเป็นต้น

เมื่อถามว่า ผู้ที่เป็นมนุษย์ดมกลิ่นจะได้รับผลกระทบด้านสุขภาพจากการดมกลิ่นหรือไม่ นายพันธศักดิ์ กล่าวว่า ไม่มีผลอะไร เพราะกลิ่นที่ดม ไม่ได้เป็นกลิ่นของสารเคมี เมื่อถามอีกว่า ผลสรุปที่ได้จากมนุษย์ดมกลิ่นเหล่านี้ จะนำไปอ้างในการฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายต่อศาลได้หรือไม่ นายพันธศักดิ์ กล่าวว่า ได้แน่นอน เพราะเรื่องนี้อยู่ในประกาศของกรม และเป็นไปตามพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2535

ขอบคุณที่มา มติชนออนไลน์ 

ขนมถ้วย ขนมไทยสูตรทำง่าย ถ้วยเดียวไม่เคยพอ

วิธีทำขนมถ้วย สูตรขนมไทยในดวงใจที่ได้ตักขึ้นมากินทีไรถ้วยเดียวไม่เคยพอ แคะ ๆ กิน ๆ เผลอแป๊บเดียวกินจนหมดจาน แต่ถ้าใครอยากจะลองทำกินเองก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยสักนิดถ้ามีอุปกรณ์ครบ



สังเกตุไหมในสมัยนี้ขนมถ้วยกลายเป็นกิมมิกที่อยู่คู่ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือไปซะแล้ว ก็เล่นใส่พริกในก๋วยเตี๋ยวมาให้เผ็ด ๆ แบบนี้ก็ต้องจัดขนมถ้วยแกล้มไปสักหน่อย แต่เอาเป็นว่า ใครอยากกินขนมถ้วยโดยที่ไม่ต้องไปร้านก๋วยเตี๋ยวเรือ หรือรอรถคุณป้าคุณลุงเข็นมาขาย วันนี้กระปุกดอทคอมก็ไม่ลืมที่จะนำวิธีการทำขนมถ้วยมาฝากจาก คุณ RinS Cook Book ลองทำกันดูนะ

ส่วนผสม หน้าขนม
• แป้งข้าวเจ้า 1/2 ถ้วย
• น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย
• เกลือป่น 1 ช้อนชา
• หัวกะทิ 2 ถ้วย

ส่วนผสม ตัวขนม
• แป้งข้าวเจ้า 3/4 ถ้วย
• น้ำตาลปี๊บ 230 กรัม
• แป้งมันสำปะหลัง 1/4 ถ้วย
• แป้งท้าวยายม่อม 1 ช้อนโต๊ะ
• น้ำลอยดอกมะลิ 1 1/4 ถ้วย (หรือน้ำผสมกลิ่นมะลิ)
• หางกะทิ 1/2 ถ้วย

อุปกรณ์
• ถ้วยขนมถ้วย (หรือถ้วยทนความร้อนสำหรับนึ่ง)
• ชุดนึ่ง

วิธีทำ ขนมถ้วย
1. ทำหน้าขนมโดยผสมแป้งข้าวเจ้า น้ำตาลทราย เกลือป่น และหัวกะทิเข้าด้วยกัน ใช้มือขยำส่วนผสมจนเข้ากันและไม่เป็นเม็ด จากนั้นนำไปกรองผ่านตะแกรง เตรียมไว้
2. ทำตัวขนมโดยผสมแป้งข้าวเจ้า น้ำตาลปี๊บ แป้งมันสำปะหลัง แป้งท้าวยายม่อม น้ำลอยดอกมะลิ และหางกะทิเข้าด้วยกัน ใช้มือขยำส่วนผสมจนเข้ากันจนน้ำตาลปี๊บละลายหมด จากนั้นนำไปกรองผ่านตะแกรง เตรียมไว้
3. นำถ้วยขนมไปนึ่งประมาณ 5 นาที (ป้องกันไม่ให้ขนมติดถ้วย)
4. เทส่วนผสมตัวขนมลงไปในถ้วย (ให้เกินครึ่งถ้วยเล็กน้อย) จากนั้นปิดฝานึ่งประมาณ 5 นาที พอครบเวลา ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้ประมาณ 1-2 นาที
5. เทส่วนผสมหน้ากะทิลงไปจนเต็มถ้วย นำไปนึ่งต่ออีกประมาณ 6-7 นาทีจนขนมสุก ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็นประมาณ 10 นาที
6. ค่อย ๆ ใช้ไม้พายหรือไม้ไศกรีมแช่น้ำแคะขนมออกจากถ้วย จักใส่จาน พร้อมเสิร์ฟ

รู้อย่างนี้แล้วสาวกขนมถ้วยอย่างเราต้องขอตัวไปตลาดซื้อของมาทำแป๊บ !! จะกินให้พุงกางไม่แคร์ความอ้วนเลยสักนิด !

ขอขอบคุณที่มา
http://cooking.kapook.com/view103061.html

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
คุณ RinS Cook Book สมาชิกเว็บไซต์ยูทูปดอทคอม และ เฟซบุ๊ก Rin Silpachai



อาชีพมาแรงและน่าสนใจ ปี 2559

ยังไม่สายไปที่จะเริ่มทำอาชีพใหม่ๆ เดียวนี้แค่เราเปิด Google ก็สามารถร่ำเรียนการหาเงินต่างๆได้อย่างมากมาย เผอิญผมไปเจอบทความน่าสนใจมากๆครับ เกี่ยวกับเทรนการทำธุรกิจในปี 2559 นี้ เพื่อนๆมีความถนัดด้านไหน ลองค้นหาตัวเองแล้วฝึกฝนดูแล้วจะรู้ว่าการทำเงินในโลกปัจจุบันนี้ไม่ยากเกินไปแน่นอน ขอให้สู้ๆครับผม 


การคาดการณ์เศรษฐกิจของเมืองไทยในปีหน้านักวิชาการทั่วไปมองว่ายังอยู่ในภาวะทรงตัว แต่ยังประคับประคองไปได้จนถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการขับเคลื่อนเพื่อการปฏิรูป ขณะที่ประเทศสมาชิกอาเซียนก้าวเข้าสู่ AEC เต็มรูปแบบ หากเราเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงอย่างเข้าใจย่อมมีโอกาสสร้างรายได้จากช่องทางธุรกิจที่เกิดขึ้นใหม่ตลอดเวลา มาดูกันว่ามีอาชีพอะไรน่าสนใจบ้าง

  1. ขายภาพทางอินเทอร์เน็ต
การทำงานยุควันนี้แข่งขันด้านความคิดสร้างสรรค์ ขยันเรียนรู้ไม่ย่ำอยู่กับที่ อาชีพธรรมดาในสายตาหลาย ๆ คนอย่างช่างภาพกลายเป็น อาชีพมาแรง และมีแนวโน้มไปได้สวยในปีหน้า เกิดจากการพัฒนาทักษะเป็นช่างภาพ Stock Photo ซึ่งเป็นอาชีพของคนยุคใหม่ที่รักการถ่ายภาพ ชอบทำงานแบบอิสระ และขายรูปภาพผ่านทางอินเทอร์เน็ต ไม่ใช่เพียงแค่มีกล้องกับคอมพิวเตอร์ก็สามารถทำอาชีพนี้ได้ ในความเป็นจริงแล้วงานนี้มีความท้าทาย ต้องมีความชำนาญแนวใดแนวหนึ่ง แนวการถ่ายภาพมีเอกลักษณ์เฉพาะและความเป็นตัวเอง ทำงานอย่างมีมาตรฐาน และปรับปรุงจุดบกพร่องของตนเองอยู่เสมอ มีลูกค้าจากทั่วไปที่ชื่อชอบแนวของเราพร้อมจะซื้องานอยู่ตลอด รายได้ของอาชีพนี้ก็ไม่น้อย เพียงแต่ต้องพิสูจน์ฝีมือให้ลูกค้าเห็น ทำยอดขายให้ถึงระดับจึงจะได้รับการยอมรับจากเว็บไซต์ สำหรับเว็บไซต์ขายภาพนั้นก็มีหลายเกรด ตั้งแต่เว็บขายภาพทั่วไป จนถึงเว็บระดับโลกอย่าง Getty images Shutterstock istockphoto Alamy OFFSET และ Fotolia ในด้านราคาก็มีแต่ละหลักร้อยไปจนถึงหลักหมื่น
  1. อาชีพด้านทักษะไอที เทคโนโลยี
สาขาอาชีพที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ธุรกิจดิจิทัล และอินเทอร์เน็ตมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้น คาดว่าผู้ใช้สมาร์ทโฟนจะเพิ่มขึ้นอีก 25 ล้านคนภายในปี 2561 ผู้ที่มีความสามารถด้านไอที คอมพิวเตอร์ ระบบดาต้า การพัฒนาแอปพลิเคชันสำหรับสมาร์ทโฟน ตลอดจนงานด้านเครือข่ายสังคมออนไลน์ ย่อมมีโอกาสสร้างรายได้และก้าวหน้าทางอาชีพอย่างมาก อาชีพเหล่านี้เป็นประเภทที่ต้องใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญระดับสูง ถือเป็นกลุ่มอาชีพรายได้สูงและตลาดอาเซียนยังต้องการอีกมาก
  1. อาชีพบล็อกเกอร์
หากไม่มีความรู้ความเชี่ยวชาญโดยตรงยังมีช่องทางประกอบอาชีพสายแยกย่อยออกไปอีกคือ บล็อกเกอร์ ซึ่งเป็นเว็บไซด์รูปแบบหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายกับการเขียนไดอารี่ถ่ายทอดความรู้และเรื่องราวต่าง ๆ สร้างรายได้ให้แก่ผู้เขียนได้ดีจากงานอดิเรกก็ได้ ในส่วนของเนื้อหาที่เขียนนั้นไม่จำกัดเรื่องราว อาจเป็นรีวิวอาหาร ภาพยนตร์ สัตว์เลี้ยง เครื่องสำอาง งานฝีมือ แฟชั่น ข่าวสาร เทคโนโลยี และผลิตภัณฑ์สินค้าต่าง ๆ เรียกได้ว่าเป็นอาชีพที่น่าสนใจ แต่ไม่ใช่ว่าจะทำได้ง่าย ๆ เลยอย่างน้อยต้องมีความรู้ในเรื่องทำเขียน ต้องสร้างผลงานคุณภาพและพัฒนาฝีมืออย่างต่อเนื่อง
  1. นักการตลาดดิจิทัล
การทำการตลาดผ่านสื่อดิจิตอลมีบทบาทมากขึ้นและกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด เพราะการโฆษณาออนไลน์กลายเป็นกุญแจสำคัญในการทำธุรกิจยุคใหม่ นักการตลาดมีทักษะการเขียนที่ดีและมีความสามารถในการเล่าเรื่องให้น่าสนใจสำหรับใช้เป็นเนื้อหาปรากฏอยู่บนเว็บไซต์และโซเชียลมีเดียเพื่อโน้มน้าวกลุ่มเป้าหมายได้ตามต้องการ มาพร้อมทักษะการตกแต่งรูปภาพประกอบเนื้อหานำเสนอ นอกจากนี้ควรมีความรู้ในเรื่องการทำ SEO เข้าใจหลักการทำงาน การกำหนดชื่อเรื่อง รู้จักการวางแผนและเลือกใช้คีย์เวิร์ดอย่างเหมาะสม รวมไปถึงการทำโฆษณาผ่าน Facebook Ads ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญของนักการตลาดดิจิตอลช่วยให้เว็บไซต์ติดลำดับการค้นหา การเลือกประเภทของโฆษณา คิดหารายได้โดยการขายพื้นที่โฆษณาที่ไม่เหมือนใคร ไปจนถึงการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  1. ธุรกิจสื่อโทรทัศน์
การเปิดสัมปทานทีวีดิจิตอลทำให้ธุรกิจสื่อโทรทัศน์เป็นช่องทางหลักสำหรับผู้ประกอบอาชีพผู้สื่อข่าว นักข่าว พิธีกร โปรดิวเซอร์ ช่างภาพ ผู้เขียนบทโทรทัศน์ คอลัมน์นิสต์ และสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องยังคงเป็นอาชีพที่อยู่รอดภายใต้สถานการณ์ที่สื่อในยุคปัจจุบัน สำหรับธุรกิจออแกไนซ์เข้ามาเป็นตัวช่วยจัดเตรียมพิธีแต่งงานมากขึ้น แต่อาจจะต้องรอเศรษฐกิจฟื้นตัวเพื่อความชัดเจนและปรับตัวให้เข้ากับแนวโน้มธุรกิจในปีหน้า
  1. อาหารปลอดสาร
การดูแลใส่สุขภาพส่งเสริมให้อาหารเพื่อสุขภาพสร้างมูลค่ามากขึ้น สินค้าเกษตรปลอดสารกลายเป็นธุรกิจที่น่าสนใจ เกษตรกรรุ่นใหม่จำเป็นต้องเพิ่มพูนทักษะความรู้สูงขึ้น มีการแลกเปลี่ยนความรู้กันอย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์ เน้นการผลิตน้อยลง แต่มีคุณภาพและความปลอดภัยสามารถสร้างมูลค่าและทำราคาดีขึ้น อีกทั้งยังลดต้นทุนในการผลิตได้ด้วย บวกกับการทำการตลาดสมัยใหม่ช่วยให้สินค้าเกษตรปลอดสารขายได้ในตลาดที่กว้างขึ้น แต่ผู้ที่มีงานทำในภาคเกษตรบางส่วนก็เปลี่ยนไปทำงานในภาคบริการเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ธุรกิจเครื่องดื่มคงจะเติบโตไปในแง่ของเครื่องดื่มสุขภาพตามกระแสรักสุขภาพ ส่วนกระแสอาหารคลีนยังคงเติบโตได้ดีและน่าลงทุน ส่วนสำคัญคือการพัฒนาจุดเด่นของตนเอง ในด้านรสชาติ การจัดแต่ง และความหลากหลายของเมนู
  1. ครูสอนโยคะหรือเทรนเนอร์ส่วนตัว
คนรุ่นใหม่หันมาใส่ใจสุขภาพและการออกกำลังกาย ครูสอนโยคะหรือเทรนเนอร์ส่วนตัวกลายเป็น อาชีพมาแรง ธุรกิจขายดิบขายดีก็คงหนีไม่พ้นการเปิดสถานออกกำลังกาย ฟิตเนส และโรงเรียนโยคะซึ่งกลายเป็นธุรกิจส่วนตัวที่ทำเงินได้ดี โดยเฉพาะการเทรนคนดังในวงการต่าง ๆ ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว ผู้ประกอบอาชีพนี้ต้องมีความรู้ทางด้านการเพาะกายเพื่อดูแลท่าออกกำลังกายที่ถูกต้อง รูปร่างและกล้ามเนื้อสวยงาม แข็งแรงมีสุขภาพดี การกินอาหารสุขภาพและการควบคุมอาหาร
  1. ครูสอนภาษา
ทักษะด้านภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษและภาษาจีน มีความจำเป็นและเป็นกุญแจสำคัญในการทำธุรกิจต่อไปในอนาคต หลังจากประเทศสมาชิกอาเซียนดำเนินการก้าวสู่ AEC เต็มรูปแบบ ครูสอนภาษาอิสระและสถาบันสอนภาษามากมายเกิดขึ้นเพื่อรองรับความต้องการของผู้ศึกษาภาษาต่าง ๆ ในการติดต่อสื่อสารกับคนต่างชาติ ครูสอนภาษาอาจจัดสอนตัวต่อตัวหรือเปิดคอร์สอบรมภาษาตามองค์กรหรืองานสัมมนาเพื่อแก้ไขทักษะภาษาอังกฤษที่คนไทยส่วนใหญ่มีปัญหามีนานแล้ว
  1. งานภาคบริการ
อาชีพในภาคบริการส่งสัญญาณการเติบโตต่อเนื่องในอนาคต โดยเฉพาะสาขาวิชาชีพ 8 สาขา อาชีพมาแรง ได้แก่ แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล สถาปนิก วิศวกร นักบัญชี นักสำรวจ และอาชีพด้านการท่องเที่ยว สามารถย้ายแรงงานมีฝีมือในกนลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนได้อย่างเสรี งานบริการมีบทบาทสําคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้ภาคธุรกิจมีความแข็งแรงและมีการจ้างงานในอัตราที่สูง อาชีพสาขาบริการที่มีแนวโน้มรุ่ง ได้แก่ ธุรกิจค้าส่งค้าปลีก สินค้ามือสองอย่างคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ สินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยงมีเป้าหมายลูกค้าที่มีกำลังซื้อที่ค่อนข้างสูง ในขณะที่ธุรกิจก่อสร้างและวัสดุก่อสร้างยังไม่ค่อยฟื้นตัว

เนื้อหาจาก เวปไซท์ moneyhub.in.th