แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ บทความที่น่าสนใจ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ บทความที่น่าสนใจ แสดงบทความทั้งหมด

สพฐ.สรุปยอดสมัครสอบครูผู้ช่วย ปี 2560 สมัคร 198,691 ตำแหน่งว่างแค่ 6,437 ในทั้งหมด 61 สาขา

5 เมษายน นายการุณ สกุลประดิษฐ์ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้เปิดรับสมัครสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย ประจำปี 2560 ใน 64 จังหวัด และสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ (สศศ.)ระหว่างวันที่ 29มี.ค.-4 เม.ย.2560 โดยมีตำแหน่งว่างบรรจุได้ 6,437 อัตรา ใน 61 สาขา 



ซึ่ง ปีนี้มี 36 สาขา รับสมัครเฉพาะผู้มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู โดยมีอัตราบรรจุได้ 4,357 อัตรา และ อีก 25 สาขา รับสมัครผู้ที่มีและไม่มีใบอนุญาตฯ มีอัตราบรรจุได้ 2,080 อัตรา นั้น ปรากฏว่ามีผู้สมัคร ทั้งสิ้น 198,691 คน 

  • กลุ่มที่มีใบประกอบวิชาชีพครู หรือ ผ่านหลักสูตรครู 5 ปี จำนวน 116,909 คน 
  • กลุ่ม 25 สาขา รับสมัครผู้ที่มีและไม่มีใบอนุญาตฯ มีผู้สมัครสอบ ทั้งสิ้น 81,782 คน 

ซึ่ง 5 จังหวัดที่มีผู้สมัครมาก ได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา 14,656 คน กรุงเทพฯ 12,294 คน ชลบุรี 9,642 คน บุรีรัมย์ 8,466 คน และสุรินทร์ 7,798 คน

เลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อไปว่า สำหรับสาขาที่มีผู้สมัครมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่ 

  1. ปฐมวัย/อนุบาลศึกษา 22,227 คน 
  2. ภาษาอังกฤษ 20,944 คน 
  3. สังคมศึกษา 20,475 คน 
  4. คอมพิวเตอร์ 17,053 คน 
  5. คณิตศาสตร์ 16,676 คน 
นอกจากนี้ยังพบว่า คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด(กศจ.) สุรินทร์ ได้เปิดกลุ่มวิชาภาษาเขมร 1 อัตรา แต่ไม่มีผู้มาสมัครสอบ เพราะไม่มีในหลักสูตร และไม่เคยมีการประกาศรับสมัครมาก่อน ดังนั้น กรณีนี้จะแก้ปัญหาโดยการจ้างครูอัตราจ้างชั่วคราวไปก่อน แต่จะนำไปเป็นข้อมูลในการประกาศสอบในครั้งต่อไป เนื่องจากประเทศไทยได้เข้าสู่ประชาคมอาเซียนแล้วซึ่งจะต้องเรียนรู้ภาษาอาเซียน ไม่ใช่เฉพาะภาษาเขมรอย่างเดียวแต่ต้องเรียนรู้ทุกภาษาในอาเซียนด้วย

"หลังจากประกาศผลการสอบคัดเลือกแล้ว สพฐ.ในฐานะผู้ใช้ครูจะรวบรวมข้อมูลผู้สมัครสอบใน 25 สาขาวิชา ว่าผู้ที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูสอบได้จำนวนเท่าไหร่ และผู้ไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูสอบได้จำนวนเท่าไหร่ เพื่อนำมาประกอบเป็นข้อมูลในการวางแผนการรับคนที่จะเข้ามาเป็นครู ว่า การรับผู้ที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู กับ การเปิดกว้างรับผู้จบปริญญาตรีจากสาขาอื่นๆ สพฐ.จะได้รับประโยชน์อย่างไร"นายการุณ กล่าว

จัดการการเงิน อย่างไรให้รวย

ขอขอบคุณบทความจากสนุกดอทคอม


ปัญหาของคนมีเงินในยุคนี้ คือไม่รู้จะเอาเงินที่มีไปเก็บไว้ที่ไหนดี คิดอะไรไม่ออก ก็เลยเก็บไว้ในบัญชีเงินฝากต่อไป บางคนก็ดิ้นรนอยากให้ได้ผลตอบแทนเยอะ ๆ เลยพยายามไปหาวิธีให้เงินงอกเงยต่าง ๆ นานา เช่น เล่นหุ้น ซื้อกองทุนเอาไปปล่อยกู้ เอาไปลงทุน คุณว่าวิธีที่ทำแบบนี้ถือว่าได้บริหารเงินแล้วหรือยัง? คำตอบคือ “ยัง” ค่ะ ซึ่งหากคุณอยากรู้วิธีว่าการบริหาร จัดการการเงิน แท้ที่จริงแล้วมันเป็นแบบไหน ตาม MoneyGuru.co.th มาดูกันเลยค่ะ

จัดการการเงิน
แนวคิดเรื่องการวางแผนการเงินตามหลักสากลบอกว่า นอกจากเงินที่คุณกันออกมาเพื่อค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนแล้ว เงินที่คุณแบ่งสรรปันส่วนมาเพื่อการเก็บออมนั้น ก็ควรแบ่งออกเป็นส่วน ๆ ตามเป้าหมายทางการเงินทุกช่วงเวลาของชีวิตด้วยเช่นกัน โดยการเก็บเงินสามารถแบ่งได้เป็น 3 ระยะ ได้แก่

ระยะสั้น

เงินที่เก็บไว้ใช้ในช่วงระยะเวลา 0-2 ปี คือเงินที่จะเก็บไว้ใช้ยามฉุกเฉิน เช่น การขาดรายได้ชั่วคราว ตกงานกระทันหัน เป็นต้น เงินส่วนนี้คุณควรเก็บไว้ในที่ที่สามารถเบิกง่าย ถอนง่าย เช่น บัญชีออมทรัพย์ บัญชีฝากประจำ กองทุนรวมตลาดเงิน (Money Market Fund)

ระยะกลาง

เงินที่เก็บไว้เพื่อที่จะใช้ในช่วง 2-10 ปีข้างหน้า เช่น เงินไว้ใช้ซื้อบ้าน ซื้อรถ แต่งงาน ท่องเที่ยวต่างประเทศ หรือลงทุนใหม่ ๆ เงินส่วนนี้ควรเก็บด้วยเครื่องมือการเงินที่เหมาะสม ในช่วงเวลาที่จะใช้เงิน เช่น กองทุนรวมตราสารหนี้ กองทุนผสม พันธบัตร หุ้นกู้ LTF

ระยะยาว

เงินที่เก็บเพื่อเป้าหมายการเงินที่เกินกว่า 10 ปีขึ้นไป เช่น เงินเพื่อการเกษียณอายุ เงินทุนการศึกษาของบุตร เป็นต้น เครื่องมือการเงินที่เหมาะสม สำหรับเป้าหมายเหล่านี้ มีมากมายหลายวิธีให้คุณเลือก เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ RMF กองทุนหุ้น หุ้นปันผล ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ Unit Linked เป็นต้น

นอกเหนือจากเงินข้างต้นที่คุณจัดสรรเอาไว้แล้ว หากยังมีเหลืออยู่เป็นเงินเย็น เราขอแนะนำให้คุณจัดสรรส่วนนี้ เป็นกองทุนเพื่อความมั่งคั่ง เพื่อความร่ำรวย คือการนำเงินก้อนนี้เอามาลงทุนได้ตามสบายโดยไม่ต้องกังวล เพราะหากเกิดความเสียหาย หรือเกิดการลงทุนผิดพลาดไป ชีวิตก็ไม่ลำบากอะไร แต่หากการลงทุนด้วยเงินก้อนนี้ประสบความสำเร็จ ก็ถือเป็นผลพลอยได้ และทำให้คุณมีเงินเพิ่มในการลงทุน ต่อยอดและเพิ่มรายได้ของคุณไปได้อีก

ปัญหาและวิธีแก้

ปัญหาของคนส่วนใหญ่ ในส่วนของการจัดการเรื่องเงิน มักเกิดจากการที่ไม่ได้แบ่งเงินออกมาเป็นส่วน ๆ ตามคำแนะนำนี้ และมักจะเอาเงินไปกองรวม ๆ กัน อย่างเงินที่จะเก็บเพื่อเกษียณ แต่ดันเอาไปรวมกับเงินก้อนอื่น ๆ แล้วก็คิดไว้ว่าสุดท้ายจะมีเงินเหลือเพื่อเกษียณ ซึ่งเราบอกได้เลยค่ะว่าไม่เหลือแน่นอน หรือถ้าเหลือก็ไม่พอเกษียณ เพราะความไม่ชัดเจนในการแบ่งสรรปันส่วนนั่นเอง

ดังนั้น ทางที่ดีแยกบัญชีออกมาเป็นสัดส่วนให้ชัดเจน บัญชีเพื่อใช้จ่ายรายเดือน บัญชีสำหรับกรณีฉุกเฉิน บัญชีเพื่อเป้าหมายที่ต้องการ (ซื้อบ้าน,ซื้อรถ) บัญชีเพื่อเกษียณ บัญชีเพื่อการศึกษาลูก และบัญชีเพื่อการลงทุน คุณอาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่องยุ่งยาก เดี๋ยวก่อนค่ะ สมัยนี้ เทคโนโลยีก้าวล้ำ คุณสามารถตั้งค่าบัญชีให้โอนเงินอัตโนมัติ เข้าสู่บัญชีเหล่านั้นได้เลย โดยที่คุณไม่ต้องดำเนินการเอง มีเงินน้อย เก็บออมน้อย มีเงินมาก เก็บออมมากขึ้นตามไปด้วย คุณต้องระลึกเอาไว้เสมอ ว่าการเก็บออมเงินนั้น ต้องใช้ระยะเวลานานจึงจะเห็นผล ดังนั้น เก็บมากเก็บน้อย ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ขอเพียงคุณมีความตั้งใจจริง มีความอดทนในการเก็บออม เมื่อเวลาผ่านไป และคุณเห็นผลลัพธ์ที่งอกเงยขึ้นมา คุณจะมีกำลังใจในการเก็บเงินต่อไป

โดยการเก็บออมเงินไปไว้ในบัญชีต่าง ๆ สิ่งที่คุณควรทำคือเรียงลำดับความสำคัญก่อนหลังด้วย ดังนี้

  • กองแรก ที่คุณควรแบ่งออกมาคือกองที่คุณกันไว้สำหรับค่าใช้จ่ายที่คุณมี และเป็นกองที่มีความสำคัญมากที่สุด
  • กองที่สอง คือกองที่เป็นเงินฉุกเฉิน เผื่อไว้กรณีขาดรายได้ชั่วคราว เช่น ตกงาน เปลี่ยนงาน ธุรกิจมีปัญหา เงินส่วนนี้ควรมีอย่างน้อย 3 – 6 เท่าของค่ารายได้ต่อเดือน
  • กองที่สาม คือกองระยะยาวเพื่อเป้าหมายสำคัญของชีวิต ได้แก่ เงินเพื่อยามเกษียณ เงินก้อนนี้เป็นเงินที่คุณไม่มีไม่ได้ ใช้เงินและระยะเวลาจำนวนมาก จึงจะประสบความสำเร็จได้ในการเก็บออม การเตรียมตัวแต่เนิ่น ๆ จะทำให้คุณใช้เงินในการเตรียมน้อยกว่า ง่ายกว่า และสบายกว่า
  • กองที่สี่ คือกองที่คุณเก็บเพื่อเป้าหมายการเงินอื่น ๆ เช่น เก็บเงินแต่งงาน เก็บเงินไว้เที่ยว เก็บเงินเพื่อซื้อรถ ดาวน์บ้าน
  • กองที่ห้า คือกองที่กันไว้เพื่อเอาไปลงทุนเพื่อความร่ำรวย ถือเป็นความสำคัญน้อยที่สุด เอาไว้เหลือจากสี่กองด้านบนจริง ๆ จึงนำมาเก็บออมในส่วนนี้ 
ดังที่กล่าวเอาไว้ จำนวนเงินที่เก็บแต่ละเดือนนั้นไม่สำคัญ มีน้อยเก็บน้อย มีมากเก็บมาก ตามสัดส่วน สิ่งที่สำคัญจริง ๆ คือวินัยในการเก็บออมเงินอย่างต่อเนื่อง การติดตามผลตลอดเวลาอาจจะทำให้คุณท้อ เพราะคุณไม่เห็นความก้าวหน้า แต่ถ้าหากคุณรอเวลาไว้สักระยะ เช่น 6 เดือน แล้วค่อยติดตามผลการออมเงิน จะทำให้คุณเห็นความก้าวหน้าได้ชัดเจน แล้วทำให้คุณมีกำลังเพิ่มขึ้น ในการเก็บออมเงินต่อไป และหากท่านใดอยากจะติดตามบทความและข่าวสารเกี่ยวกับรถยนต์ การเงิน สินเชื่อ บัตรเครดิต และประกันรถยนต์ ก็สามารถกด Subscribe เพื่อรับสาระความรู้แบบนี้จาก MoneyGuru.co.th ได้เลยค่ะ เราจะส่งตรงถึงอีเมลของคุณทุก ๆ สัปดาห์

รวยจริง บิล เกตส์ รวยที่ 1 ของโลก ที่ 1 ไทย "เจ้าสัวเจริญ" แห่งไทยเบฟฯ

ฟอร์บส์จัดอันดับ "บิล เกตส์" รวยที่ 1 ของโลก



นิตยสารฟอร์บส์ เผย"บิล เกตส์"รั้งอันดับ 1 บุคคลร่ำรวยที่สุดในโลก เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน ด้วยทรัพย์สิน 86,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ไทยมีเศรษฐีติดอันดับรวยสุดในโลกปีนี้ 20 คน เพิ่มขึ้น 4 คนจากปีที่แล้ว โดยนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ครองอันดับ 1 อีกสมัย ด้วยทรัพย์สิน 15,800 ล้านดอลลาร์ รั้งที่ 62 ของโลก รวยขึ้นกว่า 5,100 ล้านดอลลาร์

ฟอร์บส์ นิตยสารด้านธุรกิจ-การเงินชื่อดังของสหรัฐ เผยรายงานการสำรวจผู้ที่มีฐานะร่ำรวยที่สุดในโลกประจำปี 2560 ปรากฏว่า อันดับ 1 เป็นของนายบิล เกตส์ มหาเศรษฐีชาวอเมริกันผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟต์ ที่มีมูลค่าทรัพย์สินประมาณ 86,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 3.01 ล้านล้านบาท) ครองตำแหน่งนี้เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน

อันดับ 2 เป็นของนายวอร์เรน บัฟเฟตต์ ประธานบริษัทด้านการลงทุนเบิร์กไชร์ แฮธะเวย์ ที่มีมูลค่าทรัพย์สิน 75,600 ล้านดอลลาร์ อันดับ 3 นายเจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้งอะเมซอน อันดับ 5 มี 2 คนคือนายมาร์ค ซัคเคอเบิร์ก ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊ค และนายอามานซิโอ ออร์เตกา จากสเปน เจ้าของธุรกิจเครื่องแต่งกายซารา อันดับ 6 นายคาร์ลอส ซาลิม เจ้าของธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคมจากเม็กซิโก อันดับ7 นายแลร์รี เอลลิสัน ผู้ร่วมก่อตั้งออราเคิล อันดับ 8 และ 9 เป็นของพี่น้องตระกูลคอชคือ นายชาร์ลส์และนายเดวิด อันดับที่ 10 เป็นของนายไมเคิล บลูมเบิร์ก อดีตนายกเทศมนตรีนครนิวยอร์กและผู้ก่อตั้งสำนักข่าวบลูมเบิร์ก

อย่างไรก็ตาม ฟอร์บส์ ระบุว่า ในการจัดอันดับครั้งนี้ ในส่วนของมหาเศรษฐีไทยที่น่าจับตามองมากที่สุดคือ นายวิชัย ศรีวัฒนประภา จากคิง เพาเวอร์ เจ้าของสโมสรเลสเตอร์ ซิตี ที่ทะยานขึ้นมารั้งอันดับ 3 ด้วยทรัพย์สินสุทธิ 4,200 ล้านดอลลาร์ รวยขึ้นถึง 1,400 ล้านดอลลาร์ ขณะที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี วัย 67 ปี ติดอันดับ 10 เหมือนเดิม ด้วยทรัพย์สิน 1,700 ล้านดอลลาร์ รวยขึ้น 100 ล้านดอลลาร์

นิตยสารฟอร์บส์ รายงานว่า จำนวนมหาเศรษฐีพันล้านของโลกเพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็น 2,043 คนในปีนี้ ถือว่าเพิ่มมากที่สุดในรอบ 31 ปีของการสำรวจประจำปีของฟอร์บส์ ตั้งแต่เริ่มทำมา และการจัดอันดับอภิมหาเศรษฐีโลกประจำปีนี้ จะต้องมีทรัพย์สินอย่างน้อย 3,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นประเทศที่มีอภิมหาเศรษฐีมากที่สุด 565 คน ผลพวงจากมูลค่าที่เพิ่มมากขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐ นับตั้งแต่นายโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากผลการเลือกตั้งเมื่อเดือนพ.ย.ปีที่แล้ว ตามมาด้วยประเทศจีน 319 คน และเยอรมนี 114 คน

ที่มา nationtv.tv

http://www.nationtv.tv/main/content/foreign/378539527/

เหตุผล : ทำไมคนญี่ปุ่นถึงบ้างาน และไม่ยอมหยุด ถึงขนาดมีวันหยุดสำหรับคนอกหัก

ทำไมคนญี่ปุ่นถึงบ้างาน-ไม่ยอมหยุด จนต้องมี "วันหยุดสำหรับคนอกหัก" ให้!



หลายคนอาจเคยสงสัยว่าทำม้าย ทำไม คนญี่ปุ่นถึงบ้างานกันมาก ทำงานจนดึกดื่น ต้องกลับบ้านด้วยรถไฟรอบสุดท้าย เหตุผลที่คิดว่าเป็นไปได้คงมีอยู่ 2 ข้อด้วยกัน คือ

1.สปิริตในการทำงาน
โดยปกติแล้วการทำงานถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตคนญี่ปุ่นเข้าใจว่าคนญี่ปุ่นส่วนหนึ่งให้ความสำคัญกับชีวิตส่วนตัวบ้าง แต่คนส่วนใหญ่ "งานมาก่อน" เพราะคนที่ทำงานเป็น คนที่ทำงานเก่ง จะเป็นหน้าตาแก่ครอบครัวและสังคมรอบข้าง ฉะนั้น ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมคนญี่ปุ่นที่คุณรู้จักจะโหมงานหนัก ทำงานสุดตัวขนาดนี้

2.ความบีบคั้นในสังคม
อย่างที่ว่าคนญี่ปุ่นส่วนหนึ่งอยากจะเลิกงานเร็ว กลับบ้านเร็วบ้างเหมือนกัน...แต่สังคมรอบข้างบีบคั้น เช่น อยากกลับ แต่นายยังไม่กลับ เลยกลับไม่ได้

จริง ๆ แล้ว งานก็ไม่เหลือให้ทำแล้วล่ะ แต่ก็ต้องมานั่งฟอร์มทำงานจนกว่าบอสตัวเองจะกลับ จึงจะย่องกลับได้ ซึ่งเหตุการณ์นี้เห็นได้บ่อยมากในประเทศญี่ปุ่น!!! ผมจะเล่าให้ฟังว่าทำไมเป็นแบบนี้ครับ

ล่าสุดมีการนำเสนอข่าวในโทรทัศน์เกี่ยวกับการหยุดงานของมนุษย์เงินเดือนญี่ปุ่น นักข่าวตระเวนสัมภาษณ์มนุษย์เงินเดือนหลาย ๆ คนในญี่ปุ่นครับ แทบทุกคนตอบในลักษณะคล้าย ๆ กันว่า "ไม่ค่อยได้มีโอกาสหยุด" ทำไมถึงไม่ค่อยหยุดนั้น คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ให้เหตุผลคล้าย ๆ กัน แต่ความคิดนี้ค่อนข้างแตกต่างจากคนชาติอื่น ๆ ในโลก คือ ไม่อยู่ในสถานการณ์ที่หยุดได้ง่าย ๆ เจ้านาย เพื่อนร่วมงาน ก็ไม่ค่อยหยุดกัน แล้วเขาจะเสนอหน้าเข้าไปขอหยุดได้อย่างไร

"คนญี่ปุ่นเกิดความรู้สึกผิด หรือละอายใจที่หยุดครับ"

ใช่ครับ...ตอนผมทำงานในบริษัทญี่ปุ่น ผมสัมผัสกับบรรยากาศนั้นเหมือนกัน มันไม่ง่ายที่จะเดินเข้าไปขอหยุดแบบกะทันหัน อย่างน้อยก็ต้องมีการวางแผนล่วงหน้ากันแบบเนิ่น ๆ แล้วเดินเข้าไปแจ้งว่าเราจะหยุดวันไหน เมื่อดูในสลิปเงินเดือน จะเห็นสิทธิ์ในการลาพักร้อนของผม ผมสะสมวันลาพักร้อน มีเกือบเต็มโควตาตลอด และผมก็เชื่อว่า รุ่นพี่แทบทกคนก็ยังมีวันลาพักร้อนให้ตัดสินใจหยุดอีกเหลือเฟือ ไม่ใช่เจ้าตัวไม่อยากหยุดนะครับ "แต่บรรยากาศมันไม่เอื้ออำนวย"

ด้วยเหตุเช่นนี้ หลายบริษัทที่อยากแก้ไขปัญหานี้ได้มีโครงการวันหยุดพิเศษ สร้างบรรยากาศให้ยื่นขอหยุดได้ง่าย ไม่รู้สึกผิดอยากที่เคยเป็น เช่น

วันหยุด Anniversary
ให้ยื่นแจ้งวันครบรอบ อาจจะเป็นครบรอบคล้ายวันเกิด ครบรอบวันแต่งาน หรือครบรอบอื่น ๆ ในแบบฉบับของตัวเอง แจ้งล่วงหน้าเพียง 1 เดือน จะสามารถหยุดได้จริงตั้งแต่วันครบรอบนั้นมากกว่า 4 วันติด (จะได้สิทธิ์นี้ปีละ 1 ครั้ง)

วันหยุดสำหรับคนอกหัก
ถ้าอกหัก แล้วอยากจะหยุด แค่ยื่นเสนอก่อนวันหยุดเพียงแค่ 1 วันก็หยุดได้ทันที โดยจะได้รับสิทธิ์ต่างกันแบ่งตามช่วงอายุดังนี้
  • อายุ 20-25 ปี = สิทธิ์หยุด 1 วัน
  • อายุ 26-30 ปี = สิทธิ์หยุด 2 วัน
  • อายุ 30 ปีขึ้นไป = สิทธิ์หยุด 3 วัน เพราะความรุนแรงของการช็อกน่าจะมากกว่าคนที่อายุน้อยกว่า
รัฐบาลญี่ปุ่นเองยังมีมาตรการเตรียมออกกฎหมายบังคับให้พนักงานหยุดงานเลยครับ เพื่อจะแก้ไขปัญหาการทำงานหนักซึ่งอาจเป็นหนึ่งในสาเหตุของความเครียดและการฆ่าตัวตาย

เข้าใจหรือยังครับว่า คนญี่ปุ่นทำงานหามรุ่งหามค่ำทำไม ต้องเข้าใจนะครับว่าเขาก็มีเหตุผลของเขา สำหรับเรา ผมแนะนำว่า สร้างความสมดุลระหว่างเวลางาน และเวลาส่วนตัว "PLAY HARD, WORK HARD" จะทำอะไรก็ทำให้เต็มที่ ทำได้เท่านี้ ชีวิตคุณจะมีความสุขครับ

จากหนังสือ JAPAN SALARYMAN เป็นได้มากกว่ามนุษย์เงินเดือน
โดย บูมภัทรพล เหลือบุญชู

7 สิ่งควรมีก่อนที่จะ “รวย”

หลายคนคงคิดเหมือนกันว่า ก่อนจะ “รวย” ต้องมีเงิน ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ไม่ผิดค่ะ แต่คนรวยหลายคน โดยเฉพาะมหาเศรษฐีทั้งในและต่างประเทศ พวกเขาไม่ได้เริ่มจากการมีเงินนะคะ แต่พวกเขาเริ่มจากตัวเอง ซึ่งวิธีเหล่านี้ก็เป็นวิธีง่ายๆ ที่ใครๆ ก็สามารถ “สร้าง” ให้เกิดกับตัวเองได้



1. ทำใจให้เต็ม โดยไม่ต้องใช้เงินเติม

“คนเราจะทำอะไรก็ได้เพื่อให้ตัวเองมีความสุข” แต่ถ้าสิ่งที่ทำ ไม่สามารถถมใจให้เต็ม หรือไม่สามารถมีความสุขจากภายในได้ เราก็มักจะต้องใช้ “เงิน” เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสิ่งของหรือบริการ มาเติมเต็ม .. แต่เมื่อเงินหมด ความสุขก็พร่อง

ดังนั้น สิ่งแรกที่ควรทำคือ “ทำใจให้เต็มโดยไม่ต้องใช้เงินเติม” ทำตัวเองให้มีความสุขจากข้างใน ทำตัวเองให้มีความสุขเพราะตัวเราเองเป็นปัจจัย ไม่ต้องเอาไปแขวนไว้กับสิ่งของ หรือการตอบสนองของคนอื่น

นอกจากจะเป็นคนที่มีความสุขแล้ว เรายังไม่ต้องใช้จ่ายเงินมากมาย แถมยังช่วยให้เรามีเงินเก็บสำหรับการออม หรือเพื่อการลงทุนเพิ่มขึ้นด้วยค่ะ

2. มีวินัยต่อตนเอง

การมีวินัยกับตัวเองในเรื่องอื่นๆ จะเสริมให้เรามีวินัยเรื่องการเงินเพิ่มขึ้น ถ้าเรารักษาสัญญาที่ให้ไว้กับตัวเองและคนอื่นได้ แม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ เช่น ตื่นเช้าทุกวัน ไปตรงตามเวลานัด ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง ก็มีความเป็นไปได้สูงที่เราจะมีวินัยเรื่องการเงิน เพราะเราซื่อสัตย์ต่อตัวเอง

3. ตั้งเป้าหมาย

คนที่มีเงินเก็บเงินหลักล้านหรือคนที่มีธุรกิจร้อยล้านในช่วงที่อายุยังน้อย ส่วนใหญ่ทุกคนมี “เป้าหมาย” เพราะการตั้งเป้า จะทำให้เราสามารถเขียนแผนออกมาได้ ยิ่งเป้าชัด แผนก็ยิ่งละเอียด เมื่อแผนละเอียด เราก็สามารถทำตามแผนได้ง่าย สุดท้าย แม้ว่าเราจะไปไม่ถึงดวงจันทร์ แต่เราก็จะได้อยู่ท่ามกลางดวงดาวนะคะ

4. ไม่มี ไม่ยืม ไม่ผ่อน

เมื่อไม่มีเงิน ถ้าไม่มีความรู้เรื่องการเงิน ก็ไม่ควรยืม หรือผ่อนจ่าย โดยเฉพาะเพื่อซื้อหาในสิ่งที่ “ไม่จำเป็น” การไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ เพราะนอกจากเราจะต้องคืนเงินต้นแล้ว ลองคำนวณดอกเบี้ยดู เผลอๆ อาจเกินยอดเงินที่เรายืมมาก็ได้นะคะ

ลองถามตัวเองดู ว่าที่อยากได้ เพราะจำเป็นต้องใช้ หรือเพราะอยากมีไว้อวดใคร

5. เริ่มออมตั้งแต่ยังมีเงินน้อย

การออมเงิน ไม่จำเป็นต้องรอให้มีเยอะก่อนแล้วค่อยออม เพราะคนที่จะดูแลอาณาจักรได้ดี ต้องดูแลบ้านของตัวเองให้ดีซะก่อน ส่วนคนที่จะดูแลบ้านได้ดี ก็ต้องดูแลห้องของตัวเองให้ดีก่อนเช่นกัน เริ่มจากน้อยๆ ฝึกวินัยของตัวเองไปเรื่อยๆ

ถ้าเริ่มออมเงินหลักสิบหลักร้อยไม่ได้ คิดเหรอคะ ว่าจะไม่เผลอแบ่งเงินหลักแสนหลักล้านไปเพิ่มความสุข (จากภายนอก) ให้ตัวเอง

6. โฟกัสกับการ “สร้างเงิน”

คนที่มีเงินมาก การออมนั้นสำคัญเพราะทำให้เขามีเงินก้อน แต่เงินที่เพิ่มทวีคูณส่วนใหญ่มาจากการลงทุน หรือการสร้างรายได้ที่เป็น Passive Income นำเงินมาปลูก ใส่ปุ๋ยพรวนดินให้ออกดอกออกผล ย่อมดีกว่าการนำเงินใส่ตุ่มแล้วขุดดินฝังไว้

7. ประหยัดในสิ่งที่ควรประหยัด

แต่เวลา และสุขภาพ เป็นเรื่องที่ ถ้าใช้เงินจ่ายได้ ควรใช้เงินจ่ายค่ะ เงินอาจจะซื้อไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็ซื้อได้หลายอย่าง เช่น ซื้อเวลาให้กลับบ้านได้เร็วขึ้น เพื่อทำงานให้ได้มากขึ้น หรือมีเวลาให้ครอบครัวมากขึ้น กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น เพื่อร่างกายที่แข็งแรง เพื่อให้เรามีพลังในการสร้าง “เงิน” ต่อไป เป็นต้น

เห็นไหมคะ วิธีง่ายๆ เหล่านี้ เป็นวิธีที่ทุกคนสามารถทำให้เกิดกับตัวเองได้ เมื่อเรามีเมล็ดพันธุ์ที่ดี ใส่ปุ๋ย รดน้ำ พรวนดิน ให้เกิดรากที่มั่นคง ผลผลิตของเราก็ย่อมมีประสิทธิภาพ และไม่ว่าจะเจอพายุรุนแรงขนาดไหน พืชพันธุ์ของเราก็จะยังคงแข็งแรงค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก : คุณขุนเขา สินธุเสน เขจรบุตร นักจิตวิทยาพัฒนาสมอง