แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Parttime แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Parttime แสดงบทความทั้งหมด

หนาวนี้ยังไม่รู้จะทำอะไรดี แนะนำให้ปลูกดอกขจรขาย ราคาดีมากราคาโลล่ะเกือบ 100



หนาวนี้ยังไม่รู้จะทำอะไรดี แนะนำให้ปลูกดอกขจรขาย เพราะช่วงหนาวราคาพุ่ง 120-130 บาท
ซึ่งดอกขจร หรือที่ชาวย้านเรียกกันว่าดอกสลิดนั้น เป็นผักพื้นบ้าน นิยมนำมาต้ม รวกกินกับน้ำพริก
แกงส้ม แกงจืด ผัดน้ำมันหอย และอีกหลายๆอย่าง ซึ่งดอกขจรมีขายอยู่ทั่วๆไป ทั้งตามห้าง
ตามตลาดนัด หากใครสนใจจะทำเป็นอาชีพหลักหรืออาชีพเสริม

ราคาขายดอกขจร
ถ้าเป็นช่วงปกติ กก.ละ 30-40 บาท
ช่วงหนาวราคาจะพุ่ง 120-130 บาท

สวนที่จะข้อมูลมาให้ดูตัวอย่างคือสวน
คุณไพศาล-คุณสุนัน สุตะเขตร์ 20 ม.3 ต.คลองจินดา อ.สามพราน จ.นครปฐม โทร.081-880-6697



คุณไพศาล และคุณสุนัน สุตะเขตร์ ยึดอาชีพปลูกดอกขจร/ดอกสลิดมานานเกือบ 10 ปีแล้ว
โดยดอกขจรที่ปลูกนั้นมีทั้งหมด 5 ร่อง ๆ หนึ่งมีประมาณ 30 ต้น ขจรเป็นไม้เลื้อยการปลูกจึงต้องทำค้างเพื่อให้ยอดขจรขึ้นไปเลื้อยบนค้าง และต้องคอยจับยอดให้เลื่อยขึ้นค้างและห้อยลงมาด้านล่างไม่ให้กิ่งทับกันมาก เพราะนอกจากจะทำให้ขจรออกดอกดก กิ่งก้านโปร่ง เป็นระเบียบแล้วยังจะทำให้เดินเก็บดอกได้สะดวกอีกด้วย

คุณไพศาลบอกว่าดอกขจรจะดกหรือไม่ดกนั้นขึ้นอยู่กับการแต่งกิ่ง ซึ่งส่วนมากจะแต่งกิ่งกัน
ในช่วงหน้าหนาว เพราะช่วงนี้ดอกขจรมักจะออกดอกน้อยและดอกที่ออกมาก็มักจะฝ่อ ช่วงนี้จึงนิยมแต่งกิ่งกันเพื่อให้แตกยอดใหม่ที่จะสมบูรณ์มากขึ้นและให้ดอกดกเหมือนเดิม โดยการตัดแต่งจะทำกันในช่วงเดือนตุลาคม การตัดแต่งกิ่งช่วงนี้จะตัดอย่างหนัก เอาไว้เฉพาะส่วนของลำต้นที่ตั้งตรงขึ้นไป ส่วนกิ่งแขนงเลื้อยไปตามค้างจะตัดออกหมด แต่ก็จะไม่ทำทั้งแปลงพร้อมกัน แบ่งล็อคทำเพื่อให้มีต้นที่เก็บดอกได้ด้วย เพระช่วงหนาวนี้ก็ถือเป็นโอกาสทองของชาวสวนด้วยเช่นกัน เพราะราคาดอกขจรช่วงนั้นจะสูงขึ้นเป็นเท่าตัวประมาณ 120-130 บาท หลังจากแต่งต้นไปแล้วประมาณ 2-3 อาทิตย์มันจะแตกยอด
ออกมาใหม่ก็จะเริ่มดอกตามมาเรื่อยๆประมาณเดือนกว่า เริ่มทยอยเก็บไปเรื่อยๆ พอแตกยอดออกมาประมาณ 7-8 ข้อจะมีดอก มันจะเริ่มทยอยเก็บไปทีละข้อๆ



นอกจากนี้จะมีการตัดแต่งกิ่งที่แก่ออกอยู่ตลอดเพื่อให้แตกยอดใหม่ออกมา ขจรจะมียอดใหม่แตกออกมาเรื่อยๆ พอเด็ดยอดก็จะยิ่งแตกยอดใหม่ตามข้อออกมาเรื่อยๆ ยอดหนึ่งจะยาวมาประมาณ 7-8 ข้อ มีดอกทุกข้อ ยิ่งตัดก็จะยิ่งแตกการให้ปุ๋ยนั้นคุณไพศาลบอกว่าจะให้ปุ๋ยอาทิตย์เว้นอาทิตย์ โดยใช้ปุ๋ยสูตรเสมอเป็นหลัก ถ้าแต่งต้น แต่งกิ่งแก่ออกอยู่ตลอด แล้วใส่ปุ๋ยก็จะมีดอกออกมาตลอด ดอกจรไม่ค่อยมีศัตรูรบกวนแต่ก็อาจจะมีบ้างบางช่วงที่มีหนอน แมลงหวี่ขาวเข้ามากัดกินยอดก็อาจจะต้องฉีดพ่นสารเคมีบ้างแต่ก็ถือว่าน้อยมากและใช้ยาอ่อนๆก็เอาอยู่แล้ว ดอกขจรดีตรงที่อายุต้นยืนยาว สามารถอยู่ได้นานเป็น 10 ปี อายุของต้นถ้าจะอยู่ให้ได้นานก็ควรที่จะทำสาวใหม่บ่อยๆ การทำสาวนั้นขึ้นอยู่กับว่าความหนาแน่นของเถา อาจจะใช้เครื่องตัดแต่งกิ่งเป็นบางส่วนก็ได้แล้วแต่ หรือว่าจะตัดแต่งอย่างหนัก โดยตัดกิ่งแขนงออกให้หมดเหลือไว้แต่ส่วนของลำต้น ประมาณ 2 อาทิตย์ก็จะแตกยอดแตกดอกออกมาแล้ว เลี้ยงยอดไปสักเดือนหนึ่งก็เก็บได้แล้ว การตัดแต่งกิ่งอย่างหนักหรือทำสาวไม่ต้องทำพร้อมกันทั้งแปลงก็ได้ อาจจะแบ่งทำสาวเป็นร่องๆไปก็ได้ ซึ่งการทำสาวนี้นอกจากจะทำให้อายุของต้นยืนแล้ว ยังช่วยทำให้บรรยากาศในแปลง ดูโปร่งสะอาด ไม่ทึบอีกด้วย คุณไพศาลบอกว่า จะเก็บดอกขจรขายกันทุกวันๆ ละ 30-40 กก. ดอกหลังจากที่เก็บมาแล้วจะต้องนำมาคัดแยกดอกตูมและดอกบานซึ่งจะขายได้ราคาต่างกัน ดอกตูมนั้นจะได้ราคาที่ดีกว่า 40-50 บาท ดอกบานอยู่ที่ราคา 20 บาท จากนั้นก็บรรจุใส่ถุงๆ ละ 1 กก. ส่วนราคาในช่วงฤดูหนาวที่ไม่ค่อยมีดอกนั้น ราคาจะค่อนข้างสูงอยู่ที่ 120-130 บาท
คุณไพศาลบอกว่า วันหนึ่งที่บ้านจะมีรายได้หมุนเวียนไม่ต่ำกว่า 1,500-2,000 บาทเลยทีเดียว สร้างรายได้หมุนเวียนในครอบครัวเป็นอย่างดี





ทีมา @ http://www.vigotech.co.th/index.php 

เด็กป.4 หารายได้เสริม ปลูกผักปลอดสารพิษ เดือนล่ะเป็นหมื่น ไว้จ่ายค่าเทอม (มีคลิบ)

เด็กยุค 90 อย่างเราหากย้อนไปตอนอายุ 8-9 ขวบ คงจะหนีไม่พ้น ดีดลูกแก้ว โดดยาง พับจรวด ใช่มั้ย แต่ก็ยังมีตัวอย่างให้เห็นอยู่บ้าง สำหรับเด็กๆ ที่ช่วยพ่อแม่ ทำงานขายของหารายได้เสริม และนี่ก็คือเรื่องที่เราจะพูดถึงกันวันนี้กับ เด็กชายป.4 วัยเพียง 8 ขวบคนนี้ เลือกช่วยพ่อแม่หารายได้เสริม ด้วยการใช้ประโยชน์พื้นที่ข้างบ้านปลูกผักปลอดสารพิษสุดฮิต อาทิ ต้นอ่อนทานตะวัน ต้นอ่อนผักบุ้ง ต้นอ่อนหัวไชเท้า เบบี้คะน้า และผักโตเหมี่ยว ปลูก 7 วัน ตัดไปขายตลาดนัด หารายได้เสริมแต่ละเดือนหนึ่งหมื่นบาท ไว้เป็นทุนซื้อของเล่น และจ่ายค่าเทอม




คุณอัญชลี หิรัณยรัชต์ หรือคุณแอน คุณแม่ “น้องภูริ” ทองป้อง ปัจจุบันเป็นนักเรียนประถมศึกษาชั้นปีที่ 4 โรงเรียนจันทศิริวิทยา

คุณแม่แอน เล่าว่า เมื่อ พ.ศ. 2558 น้องภูริในวัย 8 ขวบ อยากได้โน๊ตบุ๊ค ในฐานะแม่เห็นว่าเป็นของใช้ที่เกินตัว และยังไม่มีความจำเป็นต่อเด็กในวัยนี้ เลยบอกไปว่า ยังเด็กอยู่ แต่หากอยากจะได้จริงๆ ต้องเก็บเงินซื้อเอง เลยเป็นที่มาของการปลูกผักขาย


แม้จะเสนอเงื่อนไขให้ลูกชายหาเงินเอง แต่ฐานะคนเป็นแม่ก็อดที่จะช่วยเหลือลูกไม่ได้ คุณแอน เลยบอกให้น้องภูริ ปลูกผักขาย เพราะเห็นว่าไม่ยาก เด็กสามารถปลูกได้ อีกทั้งครอบครัวก็ปลูกผักทานอยู่แล้ว


ที่บ้านของเรา ปลูกผักง่ายๆ กินกันเองเป็นประจำอยู่แล้ว เลยพอมีพื้นฐาน ประกอบกับค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มว่าผักชนิดไหน ปลูกไม่ยาก โตเร็ว เก็บขายได้ไว หนที่สุดมาเจอต้นอ่อนผักบุ้ง และต้นอ่อนผักต่างๆ

คุณแอน บอกว่า ที่พักอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน ย่านหนองแขม ขนาดพื้นที่ 50 ตารางวา บริเวณที่ใช้ปลูกผักอยู่ด้านข้างตัวบ้าน พื้นที่ไม่มาก อุปกรณ์ที่ใช้ปลูกมีตะกร้า นอกจากนั้นยังนำไม้ไผ่มาต่อเป็นชั้นวาง 3 ชั้น เพื่อเพิ่มพื้นที่ปลูก



หน้าที่ของคุณแอน เธอเป็นแม่บ้าน ส่วนสามีอาชีพกราฟฟิกดีไซน์ น้องภูริ มีน้องสาว 1 คน ชื่อวาริ หลังจากน้องภูริมีความตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะเก็บเงินซื้อโน๊ตบุ๊ค คุณแอนก็ลงมือช่วยปลูกผัก มีต้นอ่อนทานตะวัน ต้นอ่อนผักบุ้ง ต้นอ่อนหัวไชเท้า เบบี้คะน้า และผักโตหมี่ยว สาเหตุที่หญิงสาวเลือกปลูกผักประเภทนี้ เธอบอกว่า ปลูกง่าย โตเร็ว เด็กสามารถปลูกได้ไม่ยุ่งยาก
ขั้นตอนการเพาะเมล็ด

1. นำเมล็ดผักบุ้งไปล้างน้ำให้สะอาด จนน้ำใส จากนั้นแช่เมล็ดผักบุ้งในน้ำต่ออีก 12 ชั่วโมง
2. นำเมล็ดผักบุ้งที่ได้แช่น้ำมา 12 ชั่วโมงแล้ว มาเช็ดให้แห้ง และห่อด้วยผ้าเปียกต่ออีก 12 ชั่วโมง
3. เมล็ดผักบุ้งที่ผ่านการแช่น้ำ จะมีรากสีขาวงอกออกมา




ขั้นตอนการเตรียมดิน

1. นำดินละเอียด มาผสมกับแกลบดำ ผสมขุยมะพร้าวละเอียดด้วย ปริมาณ 1 ต่อ 1
2. นำดินเทใส่ภาชนะที่จะปลูก อาทิ ตะกร้า กะละมัง ใส่ดินสูง 1นิ้วครึ่ง
3. นำเมล็ดผักบุ้งโรยลงไปในดิน กะปริมาณให้พอดีกับภาชนะที่จะปลูก รดน้ำให้ชุ่ม หาตะกร้ามาวางทับบนดินอีกที เพื่อให้รากยั่งลึกลงดิน 2 วัน
4. วันที่ 3 เปิดตะกร้าที่วางทับบนดิน เพื่อให้ต้นอ่อนผักบุ้ง โดนแสงแดด รดน้ำ เช้า – เย็น ปลูกต่อไปอีก 7 วัน ก็สามารถตัดไปรัปประทานได้


ราคาเมล็ดผักบุ้ง 1 กิโลกรัม ท้องตลาดขาย 150 บาท เมล็ดผักบุ้ง 1 กิโลกรัม เพาะต้นอ่อน 4 กิโลกรัม สำหรับหน้าที่ที่น้องภูริจะต้องทำ คุณแม่แอนบอกว่า ทำทุกขั้นตอน ตั้งแต่เพาะเมล็ด รดน้ำเช้า – เย็น ยกเว้นตอนตัด เพราะต้องใช้ของมีคม ด้านสถานที่จำหน่ายผัก ปัจจุบันหญิงสาวนำไปขายที่ตลาดนัดในหมู่บ้าน และส่งตามออเดอร์ ราคาขาย เบบี้คะน้า ขีดละ 20 บาท ผักบุ้งอ่อนขีดละ 15 บาท ต้นอ่อนหัวไชเท้าขีดละ 20 บาท รายได้จากการจำหน่ายเฉลี่ย 1 หมื่นบาท


และหลังจากที่น้องภูริปลูกผักขายมาเป็นเวลาเกือบปี คุณแอน บอกอีกว่า มีเงินซื้อโน๊ตบุ๊คแล้ว แต่ทว่าลูกชายกลับไม่ต้องการ เพราะเห็นคุณค่าของเงินกว่าจะทำงานหามาได้นั้นยากลำบาก ไม่ซื้อโน๊คบุ๊ค เก็บเงินไว้เป็นทุนการศึกษา




ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก sentangsedtee และ amarinbabyandkids.com

แจกฟรี สูตรหมักไก่ย่างเงินล้าน เอาไปประกอบอาชีพ

พูดถึงไก่ย่าง เพื่อน ๆ ต้องเคยลองทานมาแล้วหลายแบบ หลายรสชาติ แต่ไก่ย่างที่พบเห็นและทานกันบ่อยๆ คงหนีไม่พ้น ไก่ย่างพังโคน ไก่ย่างวิเชียรบุรี หรือไก่ย่างต่าง ๆ ที่มีขายตามร้านข้างทาง ด้วยรสชาติที่หอม กรอบ อร่อย ทำให้กลายเป็นเมนูอาหารที่คนนิยมทางเป็นอย่างมาก บทความนี้เราก็ได้มาแจกสูตรหมักไก่ย่าง ที่มีรสชาติหอม กรอบอร่อยเช่นกัน ให้เพื่อน ๆ ได้ลองไปทำทาน และทำขายสร้างรายได้เป็นอาชีพเสริม หรืออาชีพหลักกันไปเลย



วัตถุดิบและส่วนผสม
  1. น่องไก่ 4 ชิ้น
  2. รากผักชี
  3. พริกไทย
  4. กระเทียม
  5. ซีอิ้วขาว
  6. เหล้าจีน
  7. น้ำผึ้ง
วิธีการทำไก่ย่าง

1. ล้างน่องไก่ให้สะอาด นำรากผักชี พริกไทย และกระเทียม มาตำให้ละเอียด แล้นำมาผสมกับซีอิ้วขาว เหล้าจีน และน้ำผึงในชาม (ปริมาณกะเอาให้พอดีในการหมักกับน่องไก่)



2. นำน่องไก่มาคลุกเคล้าให้เข้ากันกับเครื่องปรุง



3. นำน่องไก่ไปย่างที่เตา โดยใช้อุณหภูมิประมาณ 200 C ไม่ควรให้ไฟโดนไก่โดยตรง ย่างไปประมาณ 40 นาที จนไก่สุกทั่ว และเนื้อข้างในชุ่ม





เสร็จแล้วก็พร้อมเสิร์ฟ ทานกับข้าวเหนียวร้อน ๆ และจิ้มกับน้ำจิ้มแจ่ว สำหรับใครที่กำลังหาอยู่ว่าจะขายอะไรดี ลองนำสูตรหมักไก่ย่างนี้ไปทำขายดูกันก็ได้นะครับ



ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก :
http://pantip.com/topic/34893304

10 ธุรกิจทำงานที่สามารถทำได้หลังจากเลิกงาน

ตามปกติแล้วถ้าใครทำงานประจำแล้ว ก็อาจจะไม่ได้เป็นเจ้าของธุรกิจ หรือถ้าใครเป็นเจ้าของธุรกิจแล้วก็ไม่คิดจะมาทำงานประจำ และสำหรับพนังงานประจำบางคนก็มีคำถามในใจว่า จะลาออกเมื่อไหร่ดี? เพราะอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเองซะเหลือเกิน อยากเป็นเจ้านายตัวเอง อยากเก็บเกี่ยวผลผลิตที่ตัวเองปลูกมันขึ้นมา เราจึงรวบรวม 10 ธุรกิจทำเงินน่าสนใจ ที่ช่วยสร้างรายได้ในกระเป๋าหลังเลิกงาน มาฝากกัน โดยที่คุณเองไม่ต้องลาออกก็เป็นเจ้าของธุรกิจได้


1. ขายของกิน


หากคุณเป็นคนหนึ่งที่มีฝีมือในการทำอาหารอร่อย แต่ต้องทำงานประจำทุกวัน การขายของกินไม่ว่าจะเป็นขายข้าวแกง หรือข้าวกล่อง ซึ่งคุณสามารถเลือกช่วงเวลาที่จะขายได้ด้วยตัวเอง เช่น เลิก 5 โมงเย็นทุกวัน เพราะจะได้ไม่กระทบต่องานประจำด้วย ก็ลองทำเมนูง่ายๆ มาลองขายก่อนก็ได้ อย่างเช่น ขายขนม ไก่ทอด และถ้าหากสินค้ายังขายไม่ดีก็อาจจะลองเปลี่ยนเมนูไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจับทางลูกค้าถูกว่าลูกค้าส่วนใหญ่ชอบทานอะไร ซึ่งอาชีพเสริมขายของกินนี้ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งงานเสริมที่น่าสนใจและมีรายได้ดีเป็นอย่างมาก นอกจากนั้น ยังสามารถต่อยอดธุรกิจด้วยการรับทำข้าวกล่องหรือรับออเดอร์ได้ด้วย

2. ขายในสิ่งที่คุณถนัด

จะดีแค่ไหนถ้าได้ทำงานที่ตัวเองชื่นชอบและยังเป็นอีกหนึ่งอาชีพเสริมรายได้ สามารถทำหลังเลิกงานได้ โดยการเขียนรวบรวมทักษะ ความรู้ของคุณผ่านการเขียน eBook หรือ digital content เมื่อนั้นก็จะดึงดูดคนที่อยากเรียนรู้ประสบการณ์การทำงานหรือความรู้ของคุณเองโดยปริยาย โดยที่ไม่จำเป็นต้องสต๊อกสินค้าหรือมีต้นทุนการผลิตใดๆ ทั้งสิ้น

3. เผยแพร่สาระและความบันเทิงผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต

Podcasting หรือ การให้บริการบนเวิลด์ไวด์เว็บในรูปแบบของการเผยแพร่กระจายเสียง ที่คุณสามารถใช้เวลาเพียงชั่วโมงหรือ 3 ชั่วโมง ในการสร้างกลุ่มคนฟัง โดยเปิดโอกาสให้ใครก็ได้ที่มีคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์เครื่องเล่นมีเดียดิจิติอล (Digital Media Player) สามารถดาวน์โหลดและรับฟังข่าวสารจากเครื่องเล่นได้ทุกที่ทุกเวลาที่ต้องการ

ทีนี้เมื่อมีกลุ่มคนฟังเหนียวแน่น คุณก็เริ่มหารายได้จากสปอน์เซอร์หรือโฆษณามาลงได้ อาจจะต้องลงทุนอุปกรณ์นิดหน่อย แต่ podcast online นั้นฟรี ซึ่ง Really Simple Syndication (RSS) จะเข้ามาช่วยให้คอนเทนต์ของบริการพอดแคสต์ที่จัดทำขึ้นสามารถถูกพบโดยผู้สนใจได้ทั่วโลกนั่นเอง ตัวอย่างซอฟต์แวร์พอดแคสต์ที่ได้รับความนิยมในการใช้งานก็เช่น iTunes ของ Apple หรือ Google Play เป็นต้น

4. ขายสินค้าผ่าน social media

มันเป็นโอกาสดี ถ้าคุณใช้เวลาส่วนใหญ่กับการเล่น social media ในตอนเย็น ทำไมคุณไม่ใช้พื้นที่ตรงนี้ในการเพิ่มรายได้ให้กับคุณ อาจเริ่มโดยการขายที่คุณสนใจ ซึ่ง Facebook ก็ได้บอกว่ามีหลายธุรกิจที่ทำการค้าขายผ่านออนไลน์ แต่สิ่งสำคัญ คือคุณต้องบริหารเวลา การจัดส่งสินค้า การตรวจสอบเงินโอนให้เป็นระบบด้วย

5. เขียน blog ของตนเอง

มีคนไม่น้อยที่สงสัยว่าแล้วการเขียน Blog มันได้เงินอย่างไรหรือสร้างรายได้จากตรงไหน ? ซึ่งแน่นอนหลายๆทางที่คุณจะหารายได้จากบล็อก ไม่จำเป็นว่าบล็อกนั้นจะต้องเป็นบล็อกส่วนตัว อาจจะเป็นบล็อกเฉพาะทางที่ชอบหรือถนัดก็ได้ แล้วอัฟเดทให้สม่ำเสมอแล้วจะมีคนติดตามคุณเอง เช่น

บล็อกท่องเที่ยว สถานที่ที่เคยไป เคยเที่ยวมาก็เอามาเขียนลงบล็อกได้,บล็อกรีวิวหนัง ไปดูหนังมาก็เอามาเขียนรีวิวแนะนำเพื่อนได้, บล็อกเนื้อเพลงที่ชอบ, บล็อกหนังสือที่เคยอ่าน, บล็อกภาพถ่ายของเราเอง ชอบถ่ายรูปก็เอามาลง ดีไม่ดีภาพนั้นอาจจะขายได้เงินอีกทาง, บล็อกกีฬาโปรด , หรือบล็อกเกี่ยวกับงานที่เราทำก็ได้, บล๊อกทำขนม อาหาร หรือขายแบนเนอร์ ง่ายสุดๆละ หาคนมาซื้อพื้นที่โฆษณา ลงโฆษณาบนบล็อก เป็นต้น

6. เรียนรู้ graphic design


มันไม่ยากหนัก ถ้าจะฝึกเรียนรู้ graphic design ด้วยตนเอง จากคนที่ไม่มีความรู้ด้านนี้มาก่อน เพราะการมีพื้นฐานเกี่ยวกับการออกแบบกราฟิก จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าได้ ดีไซน์ที่ดีจะช่วยให้ผลิตภัณฑ์นั้นๆ ดูดี และนำไปสู่การขายดีได้ เพื่อส่งต่อภาพลักษณ์นั้นให้กับกลุ่มเป้าหมายทางธุรกิจได้ประทับใจที่สุด โดยอาจเริ่มจากโปรแกรม Adobe software และเว็บไซต์ เช่น Canva และ Visme

7. รับสอนดนตรี


ปัจจุบันมีผู้สนใจเรียนดนตรีมากขึ้น ทั้งการเล่นดนตรีประเภทต่างๆ และการร้องเพลง ไม่ว่าจะมาเป็นเดี่ยวหรือกลุ่ม เพราะเป็นช่องทางที่จะก้าวสู่อาชีพสร้างรายได้อย่างงาม ดังนั้น หากคุณเป็นอีกหนึ่งคนที่มีความรักและเชี่ยวชาญดนตรีอยู่แล้วละก็ อย่าทิ้งโอกาสที่จะเปิดโรงเรียนสอนดนตรี เพราะตลาดเรียนดนตรีขยายตัวกว้างขวางยิ่งขึ้นแน่นอน

8. พัฒนาแอพพริเคชั่น

สร้างแอพพลิเคชั่นบนมือถือและสมาร์ทโฟนขาย เป็นธุรกิจทำเงินที่สร้างรายได้อย่างไม่น่าเชื่อ โดยรายได้ที่ว่านั้นมาจากโฆษณาออนไลน์ที่ปรากฎบนแอปพลิเคชั่นของคุณ หลายๆ คนก็เริ่มหาความรู้ เพื่อที่จะสร้างแอพพลิเคชั่น หวังว่าจะเป็นนวัตกรรมดึงดูดผู้คนให้เข้ามาดาวน์โหลด ซึ่งยิ่งมียอดดาวน์โหลดมากเพียงใด นั่นก็เท่ากับว่าผู้สร้างแอพก็จะมีรายได้เข้ากระเป๋ามากเท่านั้น และถึงแม้ช่องทางหาเงินนี้ เริ่มต้นอาจต้องใช้เวลาหน่อยในการสร้างแอพพลิเคชั่น แต่เมื่อใดที่คุณลงมือทำแล้วละก็ ครั้งต่อไปคุณเองจะสามารถบริหารเวลาในการปล่อยแอพพลิเคชั่นบนมือถือได้ดีทีเดียว

9. บริการสถานเลี้ยงสัตว์

เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับคนรักสัตว์เลี้ยง ใช้เวลาหลังเลิกงานและวันหยุด เปิดร้าน Grooming Space ร้านอาบน้ำตัดขนให้น้องสุนัขและน้องแมว

10. ช่างซ่อมบำรุง


เมื่อคุณกลายมาเป็นช่างซ่อมบำรุงนอกเหนือจากชั่วโมงเวลาการทำงานประจำของช่างบริการอื่น คุณอาจได้รับข้อเสนอพิเศษจากลูกค้า หากเป็นความต้องการที่เร่งรีบ อยากให้ซ่อมแซมอุปกรณ์ที่เสียหายอย่างเร่งด่วน โดยคุณอาจติดประกาศโฆษณาบริการตามสถานที่สาธารณะต่างๆ

ที่มา : entrepreneur ขอบคุณข้อมูลจาก ฐานเศรษฐกิจ
อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ : TerraBKK.com

ข้าวเหนียวห่อใบตอง สร้างรายได้วันละหมื่น

วันที่ 8 ส.ค. 60 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บริเวณสี่แยกตลาดอาจารย์มนัส ตลาดสดเทศบาลเมืองสุโขทัยธานี ทุกเย็นตั้งแต่เวลาประมาณ 15.00 น. เป็นต้นไป แม่บ้าน พ่อบ้าน คนทำงาน เด็กนักเรียนหลังเลิกเรียน จะมารุมกันสั่งข้าวเหนียวห่อใบตองหน้าต่างๆ เช่น หน้าหมูทอด, เนื้อทอด, หมูโค้ว, หมูฝอย, ลาบหมู, หมูสามชั้นทอดกรอบ, หมูแผ่น แถมบางวันยังมีเมนูพิเศษ เช่น ลาบปลา และแกงคั่วขนุนอ่อน มาให้ได้ลิ้มรสความอร่อยอีกด้วย ราคาขายเพียงห่อละ 15 บาท พิเศษ 20 บาท จะซื้อเฉพาะกับข้าว 20 -30 บาท แม่ค้าก็แบ่งขาย จะแบ่งซื้อข้าวเหนียวอย่างเดียวก็ได้ โดยขายกิโลกรัมละ 50 บาท เพราะบอกว่าเข้าใจในยุคเศรษฐกิจแบบนี้ บางครอบครัวซื้อข้าวเหนียวไปกินกับอาหารที่เตรียมไว้แล้ว บางคนก็ซื้อเป็นกับข้าวไปกินเสริมอาหารเย็นเช่นกัน



คุณลุงเสนาะ สำลีปั้น อายุ 57 ปี และคุณป้าทองหยิบ คงดวง อายุ 60 ปี ทั้งสองสามีภรรยาเป็นชาว ต.บ้านสวน อ.เมือง จ.สุโขทัย คือเจ้าของร้านข้าวเหนียวห่อใบตองดังกล่าว ร้านนี้จึงมีการเรียกติดปากกันว่า “ข้าวเหนียวบ้านสวน” คุณลุงบอกว่านึ่งข้าวเหนียววันละ 2 กระสอบ เท่ากับวันละ 100 กิโลกรัม และต้องเป็นข้าวเหนียวเขี้ยวงู เพราะอร่อยและนิ่ม



โดยทุกวันจะนำข้าวแช่น้ำประมาณ 4 - 5 ชม. และผสมเกลือเล็กน้อยเพื่อไม่ให้มีกลิ่นข้าว ข้าวเหนียวจะนิ่ม เก็บได้นาน และไม่เหม็นบูด จากนั้นซาวขึ้นพักไว้ใส่กระสอบข้าวเพื่อเตรียมมาขายที่ตลาด และย้ำว่าไม่ได้แช่น้ำเก่าตามที่มีบางคนที่บอกว่าต้องเอาน้ำข้าวเก่ามาแช่ผสมนั้นอย่าไปทำตาม เพราะจะทำให้ข้าวเหนียวเหม็น และเวลารับประทานแล้วจะร้อนคอ โดยคุณลุงเสนาะมีหน้าที่นึ่งข้าวเหนียว นึ่งไปขายไป ระหว่างรอข้าวนึ่งสุก ก็จะไปช่วยคุณป้าทองหยิบห่อข้าวเหนียวขาย ทำอยู่อย่างนี้ประมาณ 4 ชั่วโมง ของทุกอย่างที่เตรียมมาจะหมดพอดี

ขายหมดตอนเย็นกลับบ้านก็จะช่วยกันเช็ดใบตอง หั่นหมู หั่นเนื้อ และหมักเตรียมไว้ทอดในตอนเช้า ซึ่งก็จะได้ของใหม่ๆ สดๆ ขายทุกวัน โดยใช้หมูวันละประมาณ 20 กิโลกรัม หมูสามชั้น 5 กิโลกรัม เนื้อวัวประมาณ 5 กิโลกรัม ขายได้วันละประมาณ 8,000 - 10,000 บาท เป็นอาชีพที่ทำมานานกว่า 15 ปี ขายมาตั้งแต่ราคาห่อละ 5 บาท จนปัจจุบันราคาก็ไม่ได้สูงขึ้นจนเกินไป และมั่นใจว่าราคามื้อละ 15 - 20 บาท ลูกค้าที่มาซื้อสามารถอิ่มท้องแน่นอน

ขอขอบคุณ
http://money.sanook.com/503729/

อดีตครูใช้เวลาว่าง ทำไม้กวาดทางมะพร้าวขาย สร้างรายได้เสริมเดือนละหมื่น

อดีตครูวัย 64 เก็บก้านมะพร้าวแห้งที่หลายคนมองไร้ค่า ทำไม้กวาดทางมะพร้าวขาย สร้างรายได้เสริมเดือนละกว่าหมื่นบาท ทั้งยังนำไปแจกฟรีให้ ร.ร. ที่เคยสอนด้วย



นายชาญชัย จำปาหอม อายุ 64 ปี อดีตข้าราชการครู ตำบลบ้านด่าน อำเภอบ้านด่าน จังหวัดบุรีรัมย์ ไม่เลือกงาน ไม่นิ่งเฉย ใช้เวลาว่างหลังเกษียณอายุราชการทำไม้กวาดทางมะพร้าวขายเป็นอาชีพและรายได้เสริม โดยนำความรู้จากการเข้าร่วมอบรมการทำหัตถกรรมจักสาน สมาคมผู้สูงอายุเทศบาลตำบลบ้านด่าน มาประยุกต์

ส่วนวัสดุก็หาได้ง่ายและมีต้นทุนต่ำ โดยเฉพาะก้านมะพร้าวที่หลายคนมองว่าไร้ค่า ก็สามารถหาได้ในหมู่บ้านโดยไม่ต้องลงทุนซื้อ ส่วนไม้ไผ่ที่นำมาทำเป็นด้ามไม้กวาดก็หาได้จากท้องถิ่นเช่นกัน อุปกรณ์ที่ต้องซื้อก็มีแค่เพียงเชือกไนล่อน และตะปูที่ใช้ในการตอกยึดและถักเท่านั้น

สำหรับขั้นตอนการทำไม้กวาดทางมะพร้าวก็ไม่ได้ยุ่งยาก


  1. เริ่มต้นจากการนำก้านมะพร้าวมาเหลาเอาใบออก แล้วนำไปผึ่งแดดให้แห้ง 
  2. จากนั้นนำก้านมะพร้าวมามัดเป็นกำ กำละ 10 อัน ให้ได้ 30-40 มัด 
  3. นำมาถักเรียงกัน จากนั้นนำมาประกอบใส่ด้ามไม้ไผ่ที่เหลาเตรียมไว้ 
  4. แล้วมัดด้วยลวดหรือหนังยางอีกรอบ ตอกตะปูยึดให้แน่น 
  5. ขั้นตอนสุดท้ายก็ใช้เชือกไนล่อนถักร้อยขึ้น-ลงให้แน่นหนามากขึ้นและดูสวยงามด้วย
โดยไม้กวาดที่ทำเสร็จแล้วก็จะใส่รถเข็นตระเวนขายในหมู่บ้าน และส่งขายตามตลาด จนปัจจุบันมีลูกค้าประจำมารับซื้อถึงบ้าน จนบางช่วงทำไม่ทัน แต่ลูกค้าก็จะสั่งจองไว้แล้วมารับทีหลัง ด้วยความขยันและไม่หยุดนิ่งของครูชาญชัยที่ใช้เวลาว่างหลังเกษียณทำไม้กวาดขาย ก็ทำให้มีรายได้เสริมเฉลี่ยเดือนละ 8,000 – 10,000 บาท


นอกจากนี้ ครูชาญชัยยังได้นำไม้กวาดทางมะพร้าวที่ทำไว้ไปมอบฟรีให้กับโรงเรียนหลายแห่งที่ตัวเองเคยสอนด้วย ทั้งยังพร้อมจะสละเวลา แรงกาย แรงใจ นำความรู้ที่มีไปถ่ายทอดให้กับผู้ปกครองและนักเรียนที่สนใจได้นำไปทำเป็นอาชีพอีกด้วย

ขอขอบคุณเนื้อหา
ที่มา http://money.sanook.com/487937/

อาชีพเสริม ปลาย่างลุ่มน้ำยม ชาวบ้านอ.บางระกำ

ชาวบ้าน อ.บางระกำ เมื่อฝนตกน้ำท่วม โอกาสจึงเกิด นำปลาสร้อยมาเสียไม้ย่างแปรรูปขายเป็นอาชีพเสริมช่วงหน้าฝน ขายกิโลกรัมละ 200 บาท เป็นของดีของอร่อยตามวิถีชีวิตชาวลุ่มน้ำยม


จ.พิษณุโลก ได้รับอิทธิพลจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ฝนตกหนักมาก 3 วัน ต้อนรับฤดูฝนปี2560 หลายอำเภอประสบเหตุน้ำป่าไหลหลาก ขณะที่ อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก พื้นที่ลุ่มต่ำของลุ่มน้ำยม ระดับน้ำในแม่น้ำยมและคูคลองสาขาไหลหลากเกือบล้นตลิ่ง ฝนตกหนักครั้งแรกของฤดูกาล ส่งผลให้ชาวบ้านในพื้นที่ ต.ชุมแสงสงคราม ต.ท่านางงาม สามารถจับปลาสร้อย ปลาประจำถิ่นของลุ่มน้ำยมได้จำนวนมาก และมีหลายครอบครัวในเขต ต.ชุมแสงสงคราม นำปลาสร้อยมาย่าง เก็บไว้กินในครัวเรือนและขายส่งเป็นอาชีพเสริม สร้างรายได้อย่างดีเข้าสู่ครัวเรือน

ริมถนนสายบ้านบางบ้า-ท่านางงาม บ้านบางบ้า ม.1 ม.2 ต.ชุมแสงสงคราม อ.เมืองพิษณุโลก จะเห็นกลุ่มควันจากเตาย่างปลาย่างเต็มไปหมด บรรดาแม่บ้าน ต่างอดทนเฝ้าใส่ฝืนกลับปลาย่างและทนกลับควันไฟที่เข้าตาจนแสบ เพื่อที่จะได้ปลาสร้อยย่างที่เนื้อแห้ง สีเหลืองทอง กรอบ เป็นการถนอมอาหารที่ถ่ายทอดกันมานาน สามารเก็บไว้กินได้แรมเดือน และนิยมนำไปประกอบอาหารได้หลากหลายชนิด อาทิ ไปตำในครกทำปลาป่น นำไปผสมน้ำปลาหวานจิ้มกับมะม่วง ทำน้ำพริกปลาย่าง หรือจะไปแกงเลียง ก็อร่อยยิ่งนัก

นางสมบัติ ปัญญาประสิทธิ์ อายุ 49 ปี ชาวบ้าน ม.1 บ้านบางบ้า ต.ชุมแสงสงคราม อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก เปิดเผยว่า ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีฝนตกหนักมากหลายวัน ส่งผลให้น้ำท่วมขังในเขตนาข้าวเป็นวงกว้าง ชาวบ้านต่างนำอุปกรณ์ไปดักหาปลา และส่วนใหญ่จะได้เป็นปลาสร้อย ที่ได้น้ำใหม่ออกมาจำนวนมาก หลายครอบครัวได้ออกหาปลา ได้คนละเล็กน้อยครัวเรือนละ 2-3 กิโลกรัม ก็นำมาขายตน ตนก็รับซื้อและนำมาแปรรูปเป็นปลาย่าง โดยนำปลาสร้อย มาตัดครัวนำเครื่องในออกและเสียไม้เป็นแผง มาย่างบนเตาฟืน ซึ่งต้องคอยดู คอยอบคอยกลับปลาย่างอยู่ตลอดเวลา แต่ละชุด จะใช้เวลาย่าง 2 วัน ปลาแจะแห้งสนิท สามารถเก็บไว้กินในครัวเรือนได้นานนับเดือน ที่เหลือก็ขายได้ กิโลกรัมละ 200 บาท

นางเล็ก เงินเรียน อายุ 66 ปี ชาวบ้าน ม.1 บ้านบางบ้า ต.ชุมแสงสงคราม อ.บางระกำ เป็นผู้ที่ประกอบอาชีพย่างปลาย่างมานานหลายสิบปีแล้ว ทำเป็นอาชีพเสริมกับการทำนา เปิดเผยว่า 

"ตนยึดอาชีพย่างปลาย่างมานานแล้ว เมื่อถึงฤดูฝน ชาวบ้านใน อ.บางระกำ ต่างออกหาปลาเป็นอาชีพเสริม จะมีน้ำล้นตลิ่งแม่น้ำยมและท่วมทุ่งเป็นวงกว้าง และปลาที่นิยมนำมาทำปลาย่างมากที่สุดคือปลาสร้อย" 

ชาวบ้านที่จับได้ก็จะนำมาขายตน ซึ่งจะแปรรูปเป็นปลาย่างไว้ขาย เมื่อย่างเสร็จจะมีพ่อค้ามารับซื้อถึงบ้าน ในราคากิโลกรัมละ 200 บาท เพื่อนำไปจำหน่ายต่อตามตลาดสดในอำเภอต่างๆ แต่ครั้งนี้ ปลายังไม่มากนัก เพราะเพิ่งได้ฝนตกหนักจะมีมากอีกครั้งในช่วงเดือนส.ค. - ก.ย. เมื่อน้ำหลากท่วมเต็มทุ่งนา



พิษณุโลก ผัวเมียอาศัยที่รถไฟปลูก‘กะเพรา-โหระพา’ รับเต็มๆเดือนละหลายหมื่น สร้างรายได้ให้ครอบครัว

สองสามีภรรยาใช้เวลาว่างจากร้านขายของชำใช้ที่รกว่างริมทางรถไฟปลูกพืชผักสวนครัวหลากหลายชนิด กะเพรา โหระพา ดูแลรักษาง่ายรายได้ดี เก็บขายได้เงินเข้าครอบครัวเดือนละหลักหลายหมื่นบาท



เมื่อวันที่ 12 พ.ค. ผู้สื่อข่าวทราบว่า มีสองสามีภรรยาคู่หนึ่งขยันทำมาหากินทำมาหากินมีรายได้จากการปลูกพืชผักสวนครัว โดยปลูกพืชริมทางรถไฟในอ.เมือง จ.พิษณุโลก จึงเดินทางไปตรวจสอบข้อเท็จจริง

โดยพบกับ นายสังเวียน กลั่นแก้ว อายุ 58 ปี สามี และนางวนิดา พิพัฒน์ผล ภรรยา อยู่บ้านเลขที่ 293/2 ถ.มาลาเบี่ยง ถนนเลียบทางรถไฟ อ.เมือง จ.พิษณุโลก ปกติอาชีพหลักเปิดร้านขายของชำ ชื่อ ร้านกอไผ่ ปากซอยถนนศรีสุริโยทัย

นอกจากนั้น ได้ทำเกษตรปลูกพืชผักสวนครัวเป็นอาชีพเสริม จากการขอใช้ที่ดินข้างทางรถไฟ ตรงข้ามร้านความกว้างประมาณ 15 เมตร ความยาวประมาณ 200 เมตร ตรงข้ามร้านค้าของตนเอง ปรับพื้นที่จากรกร้างปกคุลมด้วยวัชพืช เป็นพื้นที่ปลูกพืชทำรายได้หลากหลายชนิดมาเป็นเวลา 10 ปีแล้ว โดยมีกะเพรา และ โหระพา เป็นพืชหลัก ที่สร้างรายได้เสริมให้กับครอบครัวเป็นอย่างน้อย เดือนละ 10,000-30,000 บาท

นายสังเวียน เปิดเผยว่า ตนและภรรยาเปิดร้านขายของชำ และพักอาศัยอยู่ริมถนนมาลาเบี่ยงเลียบทางรถไฟ ทั้งขายของชำและรับจ้างซักผ้าช่วง 10 ปี ก่อนตนไปขอเช่าที่ดินริมทางรถไฟจากนายสถานีรถไฟ เพื่อจะปลูกพืชผักสวนครัวเป็นรายได้เสริมของครอบครัว แต่สถานีรถไฟบอกว่าไม่ต้องเช่า ให้ทำและดูแลให้ดีอย่าให้รก จากนั้นตนก็ค่อยๆ ปรับพื้นที่ริมทางรถไฟ บริเวณตรงข้ามหน้าบ้านตน ปลูกพืชหลากหลายชนิด ได้แก่ กะเพรา โหระพา พริก มะเขือ มะม่วง กล้วย ตะไคร้ มะนาว มะกรูด มะปราง โดยใช้น้ำที่ระบายออกมาจากเขตเทศบาลนครพิษณุโลก สูบขึ้นมาต่อท่อติดสปริงเกอร์ เพื่อรดพืชผักบริเวณนี้




นายสังเวียน กล่าวต่อว่า พืชหลักที่ทำมานานและสร้างรายได้เป็นกรอบเป็นกำคือ กะเพรา และโหระพา เป็นพืชที่ปลูกง่าย ใช้เมล็ดโรยริมทางรถไฟ ที่ข้างบนดินแม้จะเป็นหิน แต่ก็เจริญงอกงามดีมาก เพราะดินด้านล่างอุดมสมบูรณ์ และได้ปุ๋ยจากขี้ไก่ที่ตนเลี้ยงไก่ชนไว้มาเป็นปุ๋ยเสริม การดูแลเพียงรดน้ำเช้าและเย็น คอยดูแลถอนวัชพืชที่ขึ้นมาแซม โดยใช้เมล็ดแก่ของกะเพราและโหระพา โรยไปริมทางรถไฟประมาณ 1 เดือน ก็เริ่มโตพอที่เก็บได้ โดยจะเด็ดก้านกิ่งที่จะนำไปขาย ส่วนต้นจะแตกกิ่งก้านขึ้นมาใหม่ สามารถเก็บได้หลายรอบจนกว่าต้นจะแก่อายุ 3 เดือนก็จะโละทิ้ง จากนั้นลงมือปลูกใหม่ ทำแบบนี้ตลอดปี

สำหรับกะเพราและโหระพา ที่เก็บมาแล้ว ก็จะนำมาล้างทำความสะอาด มัดเป็นห่อไว้ มีลูกค้าขาประจำมารับที่บ้านขายกิโลกรัมละ 30 บาท ในช่วงที่ออกมากๆ เก็บขายได้วันละ 50 กิโลกรัม รวมถึงมัดเป็นกำเล็ก สำหรับให้แม่ค้าในตลาดสดมารับซื้อไปขายต่อ โดยขายกำเล็กกำละ 3 บาท แม่ค้ามารับไปขายในตลาดสดกำละ 5 บาท เฉพาะกะเพราและโหระพา ก็เป็นรายได้เสริมเข้าครอบครัวอย่างดีมีรายได้เดินละ 10,000-30,000 บาท ตนและภรรยาไม่ได้ใช้เงินมาก แต่เก็บเอาไว้ช่วยลูกๆ ที่กำลังตั้งตัว

“ยังมีพืชอีกหลากหลายชนิด ที่ผมปลูกผสมกันไปในพื้นที่นี้ ค่อยๆ ออกผลผลิตและขาย แบ่งให้เพื่อนบ้านบ้าง ทั้งพริก มะเขือ มะเขือพวง บวบ กล้วย มะม่วง มะนาว ส่วนอนาคต หากการรถไฟขยายทางคู่ ก็ไม่เป็นไร ก็พร้อมที่จะย้ายออก” นายสังเวียน กล่าว

ส่วนนางวนิดา ภรรยานายสังเวียน กล่าวว่า ใช้เวลาช่วงเช้าและเย็นไปรดน้ำ เก็บใบกะเพรา ใบโหระพา มามัดเป็นกำรอให้ลูกค้ามารับ ช่วงกลางวันก็ช่วยลูกๆ ดูแลร้านขายของชำ ถ้าเราขยันทำมาหากิน อยู่ที่ไหนก็ไม่อดตาย มีลูกค้ามาซื้อของหลายรายมาเห็นครอบครัวตนปลูก ก็นำกลับไปเป็นแบบอย่าง สร้างรายได้เสริมให้กับครอบครัวได้ด้วย ช่วงที่ออกมากๆ มีเงินเข้าครอบครัวถึงเดือนละ 30,000 บาท

ที่มา ข่าวสด


ปลูกพริกในกระสอบ รายได้กิโลล่ะ 50 - 300 บาท อาชีพเสริมที่น่าทำ


เห็นกันอยู่บ่อยๆ มักจะมีคนไอเดียดี นำวัสดุเหลือใช้ภายในครัวเรือนมาดัดแปลงปลูกพืชผักสวนครัว อาทิ ถังน้ำพลาสติก ขวดน้ำ ตะกร้า กะละมัง ฯลฯ วัตถุประสงค์ก็เพื่อให้เหมาะกับสภาพพื้นที่อันจำกัด ลดปริมาณขยะ บางรายก็สร้างรายได้ให้กับผู้ปลูกด้วย เฉกเช่น “พิ เชษฐ์ ด้วงชู” นักศึกษาชั้น ปวช.2 สาขาพืชศาสตร์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีพัทลุง นำถุงกระสอบปุ๋ยไร้ค่ามาใช้ปลูกพริกเดือยไก่บนเนื้อที่ 2 งานเศษ หารายได้เสริมระหว่างเรียนได้อย่างสบาย 
พิเชษฐ์ ด้วงชู ชื่อเล่นแน่น เด็กใต้วัย 19 ปี เล่ากับเส้นทางเศรษฐีออนไลน์ว่า เกิดที่บ้านหนองหว้า ตำบลชุมพล อำเภอ ศรีนครินทร์ จังหวัดพัทลุง ครอบครัวเป็นเกษตรกร พ่อแม่ปลูกยางพารา บนเนื้อที่ 10 ไร่ กระทั่งเมื่อปี 2558 ไปอบรมโครงการเกษตรเพื่อชีวิต ชื่อโครงการว่า “เกษตรกรรุ่นใหม่ ใส่ใจมาตรฐาน” ที่สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ จากนั้นนำองค์ความรู้ที่ได้กลับมาทดลองทำที่บ้าน ด้วย การทดลองปลูกพริกในกระสอบปุ๋ย ผลปรากฏว่าพริกเจริญเติบโตดี สามารถเก็บขายได้ มีรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายแล้วประมาณ 1.2 หมื่นบาท ทั้งที่ลงทุนไป 5,000 บาท 
“ผมอยู่บ้านว่างๆ เลยอยากหารายได้พิเศษ ด้วยการปลูกพริก เพราะพริกเป็นผักสวนครัวที่ซื้อง่าย – ขายคล่อง ซึ่งพริกที่เลือกปลูกเป็นพริกเดือยไก่ ลักษณะจำเพาะ คือ ผลอ่อนจะมีสีเหลืองอ่อน เมื่อผลแก่จะมีสีเหลืองทองส้มอมแดง รสชาติเผ็ด มีกลิ่นหอม ทำพริกแห้งสีจะสวยคุณภาพดี สามารถปลูกได้ในดินแทบทุกชนิด”

เกษตรหนุ่ม บอกต่อกับเส้นทางเศรษฐีออนไลน์ว่า พริกเดือยไก่ไม่ค่อยมีคนปลูก เพราะโรคค่อนข้างเยอะ ฉะนั้นราคาดี ปกติราคากิโลกรัมละ 50 บาท บางช่วงก็แพง กิโลกรัมละ 300 บาทเลยทีเดียว 
“พริกที่ปลูกเป็นพันธุ์เดือยไก่ เหตุผลที่ขายได้ราคาดี มี 2 ปัจจัย คือ 1.พัทลุงมีกลุ่มทำเครื่องแกงเยอะมาก พริกชนิดนี้รสชาดเผ็ด มีกลิ่นหอม นิยมทำเครื่องแกง 2.คนปลูกน้อย เนื่องจากพริกดังกล่าว ค่อนข้างมีโรคเยอะ” 
สำหรับพื้นที่ปลูก น้องแน่น บอกว่า ปลูกบนเนื้อที่ 2 งานเศษ จำนวน 200 กระสอบ พริก 200 ต้น ลงทุนไป 5,000 บาท ปลูก 45 วัน ก็เก็บเกี่ยวผลผลิตได้แล้ว รายได้จากการปลูกพริกแต่ละรอบ หลังหักค่าใช้จ่ายแล้วประมาณ 1.2 - 2 หมื่นบาท 
ส่วนวิธีการปลูก
นำกระสอบปุ๋ย ขนาด 30 กิโลกรัม ใส่ดินผสมปุ๋ยคอก และปุ๋ยสูตร 15-15-15 ปูนขาวครึ่งกำมือ ลงไปในกระสอบปุ๋ยประมาณครึ่งกระสอบ (ดินผสมปุ๋ยประมาณ 10 กิโลกรัม)
นำกล้าพริกที่เพาะไว้ในถาดหลุม มาปลูกลงในกระสอบ กระสอบละ 1 ต้น 
จัดวาง ถุงกระสอบพริก เป็นแถวยาว หมั่นรดน้ำเช้าเย็น ดูแลโรคและแมลงศัตรูพืช จนกว่าพริกจะเติบโตให้ผลผลิตสามารถเก็บเกี่ยวได้ 
มีเคล็ดลับ คือ “ดิน” ที่ปลูกแล้ว ไม่สามารถกลับมาใช้ได้อีก เพราะจะเป็นแหล่งสะสมของโรค แต่สามารถนำไปปลูกพืชชนิดอื่นได้ ส่วนกระสอบนั้นสามารถนำกลับมาใช้ได้อีกครั้ง
นับเป็นเกษตรกรเจนวาย ที่นำต้นทุนอาชีพเดิมของครอบครัวมาต่อยอด สร้างรายได้ในระหว่างเรียนได้อย่างเป็นที่น่าพอใจ

ที่มา นิตยสารเส้นทางเศรษฐี
link ประชาชาติ 




งานเสริมทำได้ !! มะนาวคั้นสด สร้างรายได้ 15,000 ต่อเดือน

"มะนาวคั้นสด" อาชีพเสริมที่น่าสนใจ สร้างรายได้ 15,000 ต่อเดือน


มนุษย์เงินเดือนคนหนึ่ง คั้นน้ำมะนาวสดขายเป็นอาชีพเสริม โดยใช้มะนาวที่ปลูกเองเป็นมะนาวอินทรีย์ ไร้สารเคมี ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง แปรรูปผลิตผลส่งร้านขายเครื่องดื่มน้ำผลไม้ ขายกิ่งตอนและขายมะนาวแบบลูก โดยขายผ่านทางเฟซบุ๊ค สร้างรายได้เพิ่มให้ครอบครัวเฉลี่ย 15,000 บาทต่อเดือน

ดูคลิบวิดีโอ คลิ๊ก
ขอบคุณที่มาจาก ไทยพีบีเอส